วานนี้ (21 เมษายน) ศาลเกาหลีใต้มีคำสั่งยกฟ้องคำร้องของเหยื่อทาสทางเพศชาวเกาหลีใต้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกับคำตัดสินของศาลเดียวกันเมื่อสามเดือนก่อนหน้า ผู้พิพากษาศาลแขวงกลางกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ ยกฟ้องคดีที่เหยื่อทาสทางเพศ ซึ่งถูกเรียกขานว่า ‘หญิงบำเรอ’ และครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิต 20 รายได้ยื่นคำร้อง โดยอ้างถึงหลักคุ้มกันอธิปไตย (Sovereign Immunity) ที่ปกป้องรัฐจากคดีแพ่งในศาลต่างประเทศ
ศาลชี้ว่าการยอมรับข้อยกเว้นหลักคุ้มกันอธิปไตยอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการทูตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยกล่าวว่าข้อตกลงปี 2015 ซึ่งจัดทำโดยฝ่ายเกาหลีใต้และญี่ปุ่นนั้นเป็นไปตามข้อกำหนดทางการทูต แม้กระบวนการเจรจาดังกล่าวจะไม่ได้รวบรวมความคิดเห็นจากเหยื่อก็ตาม
เกาหลีใต้และญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงในเดือนธันวาคม 2015 เพื่อยุติความขัดแย้ง ‘ขั้นสุดท้ายและไม่เปลี่ยนแปลง’ กรณีผู้หญิงเกาหลีที่ถูกบังคับเป็นทาสทางเพศในซ่องทหารกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อครั้งญี่ปุ่นเข้ายึดครองคาบสมุทรเกาหลีในปี 1910-1945
ญี่ปุ่นมอบทุนสนับสนุนการจัดตั้งมูลนิธิสำหรับหญิงบำเรอในกรุงโซลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2016 แต่ก็ต้องปิดตัวลงในอีกสามปีต่อมาท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงจากเหยื่อ และนักเคลื่อนไหวที่เรียกร้องคำขอโทษอย่างจริงใจและความรับผิดชอบทางกฎหมายจากรัฐบาลญี่ปุ่น
คำตัดสินครั้งนี้ตรงข้ามกับคำตัดสินของผู้พิพากษาอีกคนจากศาลเดียวกันในเดือนมกราคมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสั่งให้รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทย์ 12 คน คนละ 100 ล้านวอน (ประมาณ 2.74 ล้านบาท)
ทั้งนี้ บรรดานักประวัติศาสตร์เผยว่ามีผู้หญิงเอเชียราว 4 แสนคน โดยส่วนใหญ่มาจากจีนและคาบสมุทรเกาหลี ถูกบีบบังคับให้เป็นทาสทางเพศของซ่องทหารญี่ปุ่นในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- สำนักข่าวซินหัว