การแข่งขันฟุตบอลรายการ ช้างเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด พบกับสโมสรชลบุรี เอฟซี ในวันที่ 11 เมษายนนี้ ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ M-150 แชมเปี้ยนชิพ รอบเพลย์ออฟ จะทำการแข่งขันแบบปิด เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการติดโควิด-19 และป้องกันเหตุที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดจากสนามแข่งขัน หลังจากมีการหารือร่วมกันระหว่างการกีฬาแห่งประเทศไทย, สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, บริษัท ไทยลีก จำกัด, ผู้สนับสนุน และสโมสรที่เกี่ยวข้อง
โดยทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า
“ตามที่การกีฬาแห่งประเทศไทยได้ขอความร่วมมือมายังสมาคมกีฬาให้หลีกเลี่ยง หรือเลื่อนการจัดการแข่งขันที่มีการรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมาก โดยอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยไม่จำเป็นในช่วงนี้ เว้นแต่ในกรณีที่สมาคมมีความจำเป็นต้องจัดการแข่งขันโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นั้น
“โดยการแข่งขันกีฬาฟุตบอลรายการ ช้างเอฟเอคัพ ประจำปี 2563 ได้ทำการแข่งขันมาถึงนัดชิงชนะเลิศในวันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 ระหว่างสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด พบกับ สโมสรชลบุรี เอฟซี ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยสโมสรที่เป็นผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันดังกล่าวจะได้สิทธิ์เป็นตัวแทนสโมสรของประเทศไทยไปแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
“เช่นเดียวกับกีฬาฟุตบอลลีกอาชีพรายการ M-150 แชมเปี้ยนชิพ (ไทยลีก 2) รอบเพลย์ออฟ ที่ได้ทำการแข่งขันมาถึงรอบเพลย์ออฟ ซึ่งจะแข่งขันในวันเสาร์ที่ 10 เมษายน จนถึงวันเสาร์ที่ 24 เมษายน 2564 โดยมีความสำคัญกับทั้ง 4 สโมสร เนื่องจากสโมสรที่เป็นผู้ชนะในรอบเพลย์ออฟจากการแข่งขันดังกล่าวจะได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปสู่ระดับ โตโยต้าไทยลีก (ไทยลีก 1) ต่อไป
“ในการนี้ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด ได้ตระหนักถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง และป้องกันเหตุที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดจากสนามแข่งขัน จึงได้หารือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องแข่งขันเพื่อหาสโมสรผู้ชนะเลิศ ด้วยเหตุนี้ ในการแข่งขันฟุตบอลรายการ ช้างเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ และ M-150 แชมเปี้ยนชิพ (ไทยลีก 2) รอบเพลย์ออฟ จะเป็นการแข่งขันแบบไม่มีผู้ชมในสนามแข่งขัน ตามคู่มือการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมด้านการกีฬา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19”