วิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ในแง่ของสุขภาพเท่านั้น แต่ในแง่ของธุรกิจนั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน รวมไปถึงบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แม้ปี 2563 ที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารจะสามารถฝ่าวิกฤตจนมีกำไรได้สำเร็จ แต่กระนั้นธุรกิจหลักอย่างโรงแรมยังได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปทั่วโลก ทำให้ที่สุดแล้วผลประกอบการในปีที่ผ่านมามีผลขาดทุนสุทธิ 21,407 ล้านบาท
ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของ MINT กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาทาง MINT ได้ปรับตัวหลายอย่างเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยเฉพาะในแง่ของการลดต้นทุนที่จากเดิมตั้งเป้าลด 25-30% แต่ปรากฏว่าความจริงสามารถลดต้นทุนได้ 35-40% มากกว่าที่ตั้งไว้ จึงทำให้ช่วยลดผลขาดทุนลงด้วย
“เรามีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด ปกติจะใช้เดือนละ 3 พันล้านบาท ตอนนี้ลดลงเหลือ 1.5-1.6 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการลดต้นทุนอื่นๆ ซึ่งหากผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปแล้ว ต้นทุนบางอย่างจะยังต่ำอยู่ ดังนั้นการฟื้นตัวของกำไรจะดีขึ้นเมื่อโควิด-19 ผ่านพ้นไป”
อย่างไรก็ตาม ในด้านของฐานะการเงินของ MINT ชัยพัฒน์ย้ำว่า ยังคงแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น โดยปัจจุบันมีกระแสเงินสดกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีก 2.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ MINT มีเงินทุนสำรองที่เพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้อีกกว่า 2 ปี และการฟื้นตัวของธุรกิจจะช่วยให้บริษัทมีฐานเงินสดที่เพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับทิศทางในปี 2564 การควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวดจะดำเนินต่อไป โดย MINT มีการปรับลดงบลงทุนในปีนี้ลง 52% อยู่ที่ 4-5 พันล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นการบำรุง รักษาธุรกิจ มากกว่าจะลงทุนขนาดใหญ่ โดยจะมีการชะลอการ M&A ในช่วงนี้ออกไปก่อน
ขณะเดียวกัน MINT เตรียมขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือบางตัว เพื่อนำเงินมาลดหนี้และรักษาสภาพคล่อง ซึ่งกรณีนี้ MINT เคยทำมาก่อนในปี 2019 โดยขายไป 3 แห่ง และเช่ากลับมา
“การเช่ากลับมาทำให้เราสามารถลดต้นทุน ในขณะที่เรายังมีรายได้ และแบรนด์ยังอยู่ในตลาดต่อไปด้วย ซึ่งเรามองว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเรายังสามารถได้กำไรจากการขายสินทรัพย์นั้นมาด้วย”
ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT
ชัยพัฒน์กล่าวว่า MINT มีโรงแรมในมือมูลค่าแสนล้านบาท โดยได้หยิบสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมี 4-5 แห่งมาเตรียมพร้อมไว้ก่อน โดยเลือกจากทำเลที่ตั้งอยู่ในเมืองเป็นหลัก คาดว่าการขายสินทรัพย์จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3 และจะมีเงินเข้ามา 1-1.5 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกัน ชัยพัฒน์ได้ประเมินธุรกิจโรงแรม ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหลักของ MINT จะเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยในไตรมาส 3 จะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางภายในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ที่ยุโรปน่าจะมีการฟื้นตัวอย่างวดเร็ว เพราะมีการเดินทางภายในทวีปเดียวกัน ส่วนไตรมาส 4 อาจจะเริ่มเห็นการเดินทางระหว่างภูมิภาคบาง
ปัจจัยหลักที่จะทำให้ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวมาจากการกระจายตัวของวัคซีน เช่น ที่อิสราเอลฉีดไปเกือบ 100% หรืออังกฤษฉีดไป 1 ใน 3 ของประชากรแล้ว
“ธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีน อย่างในไทยเราพยายามคุยกับภาครัฐให้เร่งรัดการฉีด โดยขอให้มีการพิจารณาวัคซีนแบรนด์อื่น ตลอดจนอนุญาตให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนได้ด้วย ซึ่งจะช่วยเร่งให้มีการเปิดประเทศและเข้ามาช่วยการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเรื่องวัคซีนแล้ว ชัยพัฒน์ให้ความเห็นว่า หนึ่งในวิธีที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยคือ การที่นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพราะแม้ว่าจะลดระยะเวลาการกักตัวลง แต่นักท่องเที่ยวก็คงไม่อยากมา หากต้องเสียเวลากักตัวไป
“ความท้าทายที่สุดของเราคือ ความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้นและปานกลาง โดยเฉพาะการระบาดระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่ประมาท เราเตรียมสภาพคล่องของเราให้พร้อม เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น” ชัยพัฒน์กล่าว
