หนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งของไทยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คงจะหนีไม่พ้นธุรกิจ Non-Bank ซึ่งสะท้อนจากผลประกอบการของหลายบริษัทใหญ่ๆ ในอุตสาหกรรม เช่น MTC มีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 27.7% SAWAD เติบโตเฉลี่ย 19.1% AEONTS เติบโตเฉลี่ย 18.2% และ KTC เติบโตเฉลี่ย 17.3% หรือแม้แต่หุ้นอย่าง MICRO ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนเมื่อปลายปี 2563 กำไรสุทธิของปีที่ผ่านมาก็สามารถเติบโตได้ 21.9%
ด้วยการเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นของบรรดาธุรกิจ Non-Bank เหล่านี้ พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดภายในเวลาไม่กี่เดือน แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงไปอย่างหนักเช่นกัน ในช่วงที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด
หุ้นกลุ่ม Non-Bank ของ 4 บริษัทใหญ่ อย่าง MTC – SAWAD – AEONTS – KTC ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 17-28% ต่อปี หนุนให้ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ฟื้นตัวจากช่วงวิกฤตโควิด-19 จนขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้ทั้งหมด
กรกช เสวตร์ครุตมัต นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มองว่า แม้ราคาหุ้นของบรรดาธุรกิจ Non-Bank จะพุ่งขึ้นมาอย่างร้อนแรง แต่ส่วนตัวยังไม่คิดว่าจะ Overvalue มากเกินไปนัก เพราะหากมองไปในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า กำไรของกลุ่ม Non-Bank จะยังสามารถเติบโตได้ในระดับเกิน 10% ต่อปี
“กลุ่ม Non-Bank ปัจจุบันเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วในไทย ถือเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง เพราะการเข้าถึงสินเชื่อของคนไทยผ่านระบบธนาคารยังทำได้น้อย โดยอาจจะอยู่ที่เพียง 15-20% ของผู้ที่ต้องการสินเชื่อเท่านั้น และแนวโน้มในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้ การจะหาธุรกิจที่โตได้ในระดับ 15-17% ต่อปี ทำได้ค่อนข้างยาก”
อย่างไรก็ดี ด้วยราคาหุ้นที่ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หุ้นในกลุ่มบางตัวเต็มมูลค่าแล้วอย่าง SAWAD และ KTC ในขณะที่หุ้นอย่าง MTC และ AEONTS ประเมินว่ายังมีอัปไซด์เหลืออยู่
“หนึ่งในตลาดที่เข้ามาหนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้คือ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ แม้จะมีผู้เล่นอย่างธนาคารออมสินเข้ามา แต่โดยภาพรวมก็ยังคงมีช่องว่างให้ขยายได้อยู่สำหรับแต่ละบริษัท”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ นักลงทุนที่ถือหุ้นอย่าง SAWAD อาจจะถือต่อได้ แม้ราคาอาจจะเต็มมูลค่า แต่สำหรับ KTC แนะนำขาย เนื่องจากราคาแพงเกินไปแล้ว ขณะที่ MTC และ AEONTS ยังสามารถเข้าซื้อได้ ด้วยอัปไซด์ที่ยังมีอยู่ โดย AEONTS น่าจะเป็นบริษัทแรกในกลุ่มที่เริ่มเห็นตัวเลข NPL ลดลง และยังสามารถควบคุมต้นทุนได้ค่อนข้างดี
ด้าน ปรเมศร์ ทองบัว นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า แรงหนุนต่อหุ้น SAWAD ให้ปรับขึ้น 3-5% ล่าสุด ส่วนหนึ่งมาจากการปิดดีลร่วมทุน (JV) กับธนาคารออมสิน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นประเด็นที่รับรู้มาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม กำไรจากการร่วมทุนครั้งนี้จะยังไม่ได้เข้ามาหนุนได้ทันที ส่วนหนึ่งต้องรอกระบวนการโอนสินเชื่อของ SAWAD เข้าไปอยู่ภายใต้บริษัทร่วมทุน
“ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าธุรกิจจำนำทะเบียนรถเป็นส่วนที่หนุนให้ราคาหุ้นไฟแนนซ์เหล่านี้วิ่งขึ้นมา ซึ่งหลายบริษัทอยากจะเข้ามาเจาะธุรกิจนี้ ทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมรุนแรงพอสมควร และทำให้ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมาอาจจะเกินพื้นฐานไปบ้าง โดยเฉพาะหากมองเทียบกับการเติบโตในระดับปกติราว 15-20% ต่อปี”
อย่างกรณีของ SAWAD หากอิงจากพื้นฐานที่กำไรเติบโต 15-20% ราคาระดับนี้ (83-87 บาท) เริ่มเกินพื้นฐานไปบ้างแล้ว แต่หากใช้สมมติของบริษัทที่คาดว่าปีนี้จะโตถึง 50% ราคาก็ยังพอมีอัปไซด์ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้ประเมินว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้ในระดับสูงขนาดนั้น
“ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ควรจะโฟกัสไปที่หุ้น ซึ่งสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถเติบโตในระดับ 15-20% มาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ควรให้ความสำคัญกับราคา โดยอาจพิจารณาจากค่า P/E ซึ่งไม่ควรแพงจนเกินไป โดยระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตราว 20% P/E ก็ควรจะอยู่ประมาณ 20 เท่า หากใช้สมมติฐานนี้ ราคาหุ้นของ SAWAD และ MTC ก็ไม่ควรจะวิ่งไปไกลจากระดับนี้ได้มากแล้ว”
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล