ดูเหมือนว่าพันธสัญญาเพื่อความยั่งยืนขององค์กร หรือ L’Oreal for The Future 2030 ซึ่งเป็นแนวทางในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ L’Oreal Group จะเด่นชัดมากขึ้น หลังจากที่ผู้บริหารระดับสูงของลอรีอัลได้นำงานวิจัย นวัตกรรม และข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค ซึ่งเป็นภาพสะท้อนประเด็นสำคัญต่อทิศทางของอุตสาหกรรมความงาม และยังเกี่ยวโยงไปกับความยั่งยืน Green Science (วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม) และเศรษฐกิจหมุนเวียน มาเปิดเผยในงาน L’Oreal Virtual Transparency Summit เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย)
การจัดงานในครั้งนี้ ลอรีอัลเผยข้อมูลความโปร่งใสและความปลอดภัยของการวิจัยภายใต้แนวคิด Green Science ประยุกต์ใช้แนวทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมความงาม พร้อมประกาศความมุ่งมั่นในการยกระดับประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็นเลิศและปลอดภัย ควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแบ่งปันวิสัยทัศน์ของความงามแห่งอนาคต ตั้งเป้าภายในปี 2030 ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ 95% จะต้องมาจากแหล่งพืชที่สามารถปลูกทดแทนได้ แหล่งแร่ธาตุที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น หรือกระบวนการหมุนเวียน และ 100% ของสูตรจะคำนึงถึงระบบนิเวศแบบองค์รวม
“ผู้บริโภคคาดหวังความโปร่งใสอย่างเต็มที่จากแบรนด์ นั่นจึงเป็นที่มาของการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและจริยธรรมของลอรีอัลที่มีต่อผู้บริโภค” Nicolas Hieronimus รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ L’Oreal กล่าว
Laurent Gilbert ผู้อำนวยการด้านนวัตกรรมของลอรีอัล นำเสนอประเด็นสำคัญเชิงลึกเกี่ยวกับความสำเร็จในปี 2020 ว่า 80% ของวัตถุดิบสามารถย่อยสลายได้ 59% สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือมาจากแหล่งวัสดุชีวภาพ 34% ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ และ 29% ของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลได้รับการพัฒนาตามหลักการ Green Chemistry ที่หลีกเลี่ยงการใช้หรือสังเคราะห์สารที่ก่อให้เกิดอันตรายและกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ถือเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะในเดินหน้าต่อในปีนี้ เมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลักดันให้ผู้บริโภคเพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อตนเองและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงนำแนวทางปฏิบัติด้าน Green Science มาใช้ในการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์มากขึ้น ปัจจุบันลอรีอัลกำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของ L’Oréal Research & Innovation ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันพันธสัญญาเพื่อความยั่งยืนที่ลอรีอัลยึดถือตลอดมา
Nicolas ยังกล่าวอีกว่า “เพียงแค่มีมอยส์เจอไรเซอร์หรือมาสคาร่าที่ดีที่สุดเท่านั้นไม่เพียงพอ ลอรีอัลจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสูตร ยิ่งไปกว่านั้น เรามุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมความงามโดยใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติมากขึ้น เพื่อสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก”
ปัจจุบัน L’Oreal Research & Innovation ขับเคลื่อนด้วย 4 แกนหลัก ได้แก่ ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์, การเคารพต่อสิ่งแวดล้อม, การศึกษาทางจริยธรรมและทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในปี 2020 ลอรีอัลทุ่มเทให้กับการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมเกือบ 1 พันล้านยูโร ด้วยทีมนักวิจัยกว่า 4,000 คนที่ทำงานใน 50 สาขาวิชาในสถานที่ต่างๆ 21 แห่ง เพื่อการวิจัยอันถือเป็นกลยุทธ์หลักของลอรีอัล
ทีมนักวิจัยกว่า 4,000 คนที่ทำงานใน 50 สาขาวิชาในสถานที่ต่างๆ 21 แห่ง
ลอรีอัลยังได้รวบรวมแหล่งข้อมูลทั้งหมดในด้าน Green Science ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อให้สามารถเพาะปลูกส่วนผสมได้อย่างยั่งยืน และดึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติมอบให้ผ่านกระบวนการทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงความก้าวหน้าล่าสุดในปฐพีวิทยา พร้อมนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพเคมีสีเขียวกำหนดสูตรและการสร้างแบบจำลองเครื่องมือ นอกจากนี้ยังสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับมหาวิทยาลัย สตาร์ทอัพ และซัพพลายเออร์จัดหาวัตถุดิบ เพื่อการตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกัน
การปรับปรุงความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ของเราถือเป็นหัวใจสำคัญของพันธสัญญาของลอรีอัล ที่ผ่านมาลอรีอัลได้หยุดการทดลองส่วนผสมกับสัตว์มาตั้งแต่ปี 1989 ซึ่งเป็นเวลา 14 ปีก่อนหน้าที่สิ่งนี้จะกลายมาเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายในอุตสาหกรรม
Stéphane Dhalluin หัวหน้าฝ่ายประเมินความปลอดภัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมของลอรีอัล กล่าวถึงความมุ่งมั่นของลอรีอัลในเรื่องความปลอดภัย โดยได้จัดตั้งศูนย์ Episkin Center ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพื่อสร้างโครงสร้างผิวหนังจำลองเสมือนจริงในห้องทดลอง เป็นทางเลือกการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์ และยังมีเครื่องมือการประเมินผลผลิตภัณฑ์แบบอื่นๆ โดยไม่ใช้สัตว์ เช่น การจำลองโมเลกุล (Molecular Modeling) ระบบเชี่ยวชาญทางพิษวิทยา (Toxicology) เทคนิคการสร้างภาพ (Imaging Technique) เป็นต้น
โครงสร้างผิวหนังจำลองเสมือนจริงในห้องทดลองของศูนย์ Episkin Center
Barbara Lavernos หัวหน้าฝ่ายวิจัยนวัตกรรมและเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของลอรีอัล กล่าวว่า “ลอรีอัลก่อเกิดมาจากวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจของเราจนถึงปัจจุบัน ต้องขอบคุณ Green Sciences ที่ทำให้เราสามารถใช้วิทยาการด้านสิ่งแวดล้อมล่าสุดในการสกัดและผลิตส่วนผสม เพื่อช่วยให้เรานำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิที่ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม สมกับที่เป็นบริษัทเครื่องสำอางอันดับหนึ่งของโลก”
Barbara ยังกล่าวเสริมว่า “ผลกระทบจากการระบาดครั้งใหญ่ทำให้ความคิดของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากนี้ไปผู้บริโภคจะต้องการความมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งความโปร่งใสของห่วงโซ่การผลิต นิยามความงามอย่างมีคุณค่าจะหมายถึงการดูแลตัวเองด้วยสิ่งที่ดีไปพร้อมๆ กับดูแลสิ่งแวดล้อมของโลกเรา”
ลอรีอัลมีมาตรฐานบริหารจัดการคุณภาพของผลิตภัณฑ์กว่า 100 ขั้นตอน
เพื่อรับรองคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยตลอดระยะเวลาของอายุผลิตภัณฑ์
“บทบาทของเราคือการให้ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างมีความรู้”
สำหรับทิศทางความงามแห่งอนาคตของลอรีอัล Julia Sarhy ผู้อำนวยการฝ่าย Global Consumer Insights กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นทั้งหมดจะมุ่งเน้นไปที่คุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความรับผิดชอบ หมายรวมถึงทีมงานของลอรีอัลก็ยึดถือหลักปฏิบัติที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภค ได้แก่ ความเต็มใจที่จะแบ่งปัน ความชัดเจน และความซื่อสัตย์
การเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทุกคนสามารถค้นหาคำตอบและที่มาของวัตถุดิบ ไปจนถึงขั้นตอนการผลิตด้วยตัวเอง ถือเป็นหนึ่งแนวทางสร้างความโปร่งใส ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าหากมอบข้อมูลที่ดี ผู้บริโภคจะสามารถประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ และสามารถรับทราบข้อมูลด้านความยั่งยืนสำหรับประกอบการตัดสินในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
เว็บไซต์ Inside Our Products https://inside-our-products.loreal.com/
จึงนำไปสู่แนวคิดริเริ่มใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงข้อมูลและการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านเว็บไซต์ Inside Our Products ที่เปิดตัวไปตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2019 โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และส่วนผสมกว่า 1,000 รายการที่ใช้ในแบรนด์ในเครือ 35 แบรนด์ มีให้บริการใน 45 ประเทศ 8 ภาษา ได้แก่ ภาษาจีน, ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาเยอรมัน, ภาษาอิตาลี, ภาษาโปรตุเกส, ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน โดยจะเริ่มโปรโมตเว็บไซต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย 20 ประเทศในเดือนมีนาคมนี้
ในเดือนมิถุนายน ปี 2020 ลอรีอัลได้เปิดตัว L’Oreal For The Future โปรแกรมเพื่อความยั่งยืน 2030 เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และหน้าที่ขององค์กรว่าควรเป็นเช่นไรในการมุ่งแก้ไขปัญหาสำคัญที่โลกกำลังเผชิญ โดยมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปธุรกิจของลอรีอัลเพื่อไม่ละเมิดขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก พร้อมยกระดับแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอีก 3 ประการ ได้แก่ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน โดยตั้งเป้าในการทำงานด้านต่างๆ บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets)
L’Oreal for the Future วิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืนของ L’Oreal Group ที่ตั้งเป้าหมายปี 2030 บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้แบรนด์ลอรีอัล ปารีส ยังเปิดตัว The Other Side อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สื่อถึงความโปร่งใส ตั้งแต่ส่วนผสม วิธีการทดสอบ ไปจนถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปสู่ผู้บริโภค รวมไปถึงความยั่งยืนและความโปร่งใสด้านอื่นๆ เช่น ข้อมูลบรรจุภัณฑ์ที่มาจากพลาสติกรีไซเคิลและสามารถรีไซเคิลได้ หรือข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ลอรีอัล ปารีส ได้อย่างง่ายดาย
ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง เชื่อเช่นกันว่าการได้เห็นความโปร่งใสจากบริษัทลงสู่แบรนด์ในทุกมิติจะเพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่หยิบสินค้ามาใช้ อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่าเราเองได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาโลกใบนี้เช่นกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์