วันนี้ (4 มกราคม) ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) พหลโยธิน พงศธรณ์ ตันเจริญ หรือสหายบอย แกนนำแนวร่วมนิสิต มมส. เพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน. พหลโยธิน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการร่วมชุมนุมที่บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่
พงศธรณ์กล่าวว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีการตั้งข้อหาร้ายแรงให้เยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอยากย้ำเตือนกับสังคมว่าในข้อหาร้ายแรงลักษณะนี้ให้สังคมช่วยเป็นหูเป็นตาว่าสิ่งที่รัฐได้กระทำจะส่งผลย้อนกลับว่าสิ่งที่พยายามทำให้กลัวและไม่กล้าพูดถึงสถาบันฯ หรือวิพากษณ์วิจารณ์ แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งมีการทำมานานแล้ว ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยัดเยียดคดีนี้ให้
พงศธรณ์กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ตนพูดและเคลื่อนไหวมาตลอดไม่ใช่สิ่งที่ผิดและทำร้ายใคร ทำด้วยเจตนารมณ์ที่บริสุทธิ์ตามวิถีทางที่อยากเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง ยืนยันจะสู้ต่อแม้จะโดนคดีที่ร้ายแรง
ด้าน คุณากร มั่นนทีรัย ทนายความกล่าวว่า สำหรับพฤติกรรมที่เข้าข่ายมาตรา 112 จะทราบหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ยืนยันว่าจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะให้การเป็นหนังสือภายใน 30 วัน ซึ่งมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการติชมด้วยความสุจริตไม่เข้าองค์ประกอบความผิด
ขณะที่วันเดียวกัน ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำคณะราษฎร เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่สน. พหลโยธิน เช่นเดียวกัน จากการชุมนุมปราศรัยที่ห้าแยกลาดพร้าวเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ้นผิดจากข้อกล่าวหากรณีอาศัยบ้านพักหลวงภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัภลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.)
ปนัสยากล่าวว่า เบื้องต้นถูกหมายเรียกคดีมาตรา 112 จากการชุมนุมที่ห้าแยกลาดพร้าวเมื่อปลายปี 2563 แต่คาดว่ายังมีอีกหลายคดี ทั้งนี้ในวันที่ 8 มกราคมนี้ก็ถูกหมายเรียกคดีมาตรา 112 อีกเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบว่ามาจากเหตุใด มองว่าข้อหานี้ยิ่งใช้ก็ยิ่งเสื่อม ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ถูกตีความว่าอาฆาตมาดร้ายไปหมด หากบอกว่าเป็นการปกป้องด้วยความรัก การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้ความรักลดน้อยลง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า