บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ SCGP วันนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า โดยปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ 41 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 5.13% มูลค่าการซื้อขาย 2,248 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเริ่มมีสำนักวิจัยและฝ่ายวิเคราะห์เผยแพร่คำแนะนำการลงทุนหุ้นนี้ได้ หลังจากหมดช่วง Blackout Period และหากมองปัจจัยพื้นฐานแล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกันว่า หุ้นนี้จะมีการเติบโตที่น่าจับตา
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน หลักทรัพย์บัวหลวง กล่าวว่า มูลค่าการเข้าลงทุนที่หนาแน่น และราคาหุ้น บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ที่ปรับเพิ่มขึ้นในรอบการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (26 พฤศจิกายน) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสิ้นสุดช่วง Blackout Period ทำให้สำนักวิจัยต่างๆ สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมุมมองและคำแนะนำการลงทุนได้
หากมองปัจจัยพื้นฐาน หลักทรัพย์บัวหลวงมีมุมมองเป็นบวก และให้คำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 48 บาท เนื่องจากมองว่า SCGP จะได้รับอานิสงส์ค่อนข้างมาก เมื่อกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ได้รับแรงกระตุ้นกำลังซื้อผ่านมาตราการต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่จัดโปรโมชั่นและแคมเปญในช่วงปลายปี
นอกจากนี้ SCGP ยังมีการเติบโตด้วยธุรกิจหลักที่ขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย ทำให้มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย และกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเช่นกัน
อีกทั้งยังมีการเติบโตแบบ In-Organic คือการขยายธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์ต่างๆ ทั้งความร่วมมือระดับทำธุรกิจร่วมกัน และร่วมทุนกันก็มี
“อีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นบวกต่อ SCGP ตอนนี้ก็คือ ราคาถือว่าไม่แพง เทียบกับ PE ปี 2563 ที่เราทำประมาณการกำไรไว้ที่ 6,381 ล้านบาทแล้ว จะมี PE ที่ 26 เท่า และปีหน้าเราทำประมาณการกำไรไว้ที่ 7,861 ล้านบาท จะมี PE ที่ 21 เท่า ซึ่งถือว่าไม่สูง”
ขณะเดียวกัน SCGP ยังเข้ากับกลยุทธ์การลงทุนที่หลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำ คือ หุ้นเล่นรับปริมาณการขนส่งอีคอมเมิร์ซ, โลจิสติกส์ ที่คาดจะมีรายงานตัวเลขสินค้าสั่งซื้อยอดฮิตตามมาหลังช่วงวันหยุด Thanksgiving Day และต่อเนื่องสินค้าลดราคา Black Friday (คล้ายเหตุการณ์ 11.11 ในจีน) โดยแบ่งหุ้นเป็น ปลายน้ำ SCGP, กลางน้ำ LEO และต้นน้ำ WHA
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เผยแพร่บทวิเคราะห์ระบุว่า SCGP มีการเติบโตที่ดีในช่วงปี 2559-2562 โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 6% ต่อปี ในปี 2563-2565 การเสนอขายหุ้นไอพีโอมูลค่า 3.95 หมื่นล้านบาทจะช่วยขจัดข้อจำกัดด้านเงินทุน ทำให้สามารถลงทุนเพิ่มเติมผ่านการขยายกำลังการผลิตและ M&P ซึ่งต่างจากผู้เล่นรายใหญ่รายอื่นในภูมิภาคเอเชีย ที่เน้นบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีตราสินค้า อีกทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ของ SCGP จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดรับลูกค้าขั้นปลาย และพัฒนาโซลูชันของลูกค้าให้มากขึ้น
โดย SCGP เป็นเรือธงของกลุ่มบริษัท SCG ซึ่งมีการพัฒนาสินค้าตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทำให้ SCGP เป็นส่วนเสริมที่แข็งแกร่งสำหรับแผนกปิโตรเคมีของกลุ่ม ขณะที่ความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์กล่องก็มีพื้นฐานการเติบโตที่ดีตามความต้องการตลาด และวิธีการจัดจำหน่ายและจัดส่งสินค้าที่เปลี่ยนไปใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซ ทั้งนี้ เมย์เแบงก์ กิมเอ็ง มองว่าการเติบโตแบบออร์แกนิกจะหนุนกำไรสุทธิให้เติบโต 20% ต่อปี ในปี 2563-2565 จึงให้คำแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 48 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย เผยแพร่บทวิเคราะห์ ระบุว่า หลักทรัพย์กสิกรมองราคาเป้าหมาย SCGP ปี 2564 ที่ 43 บาท ปัจจุบันหุ้นมีอัปไซด์ 10.3% โดยประเมินว่า SCGP เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง เนื่องจากการเติบโตอย่างยั่งยืนของสินค้าอุปโภคบริโภคและอีคอมเมิร์ซ
ทั้งนี้ คาดการณ์ CAGR ของกำไรหลักที่ 18% ในปี 2563-2565 สำหรับโครงการใหม่ และเพิ่มอัตรากำไรพร้อมส่วนต่างจากการเข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้น