เกิดอะไรขึ้น:
บ่ายวานนี้ (4 พฤศจิกายน) บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 50%YoY และเพิ่มขึ้น 20%QoQ สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ 1.7 พันล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด YoY มาจากยอดขายและอัตรากำไรที่ดีขึ้น
โดยยอดขายไตรมาส 3/63 เพิ่มขึ้น 9%YoY ซึ่งได้ปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในสหรัฐฯ หันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้านมากขึ้น รวมถึงยอดขายในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงก็ปรับตัวดีขึ้น YoY
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 3/63 เพิ่มขึ้น 230 bps YoY สู่ระดับ 18.2% ซึ่งเกิดจากอัตรากำไรที่กว้างขึ้นของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป และการเปิดตัวสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ให้อัตรากำไรสูงของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ปรับตัวขึ้น QoQ โดยหลักๆ มาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจ Red Lobster ไตรมาส 3/63 ปรับตัวดีขึ้น QoQ หลังจากร้านอาหารกว่า 99% กลับมาเปิดให้บริการแล้ว และ 94% เปิดให้นั่งรับประทานที่ร้านได้ แต่ยังแย่ลง YoY
กระทบอย่างไร:
เมื่อวานนี้ราคาหุ้น TU ปรับตัวขึ้นทันทีในช่วงบ่ายสู่ระดับ 15.40 บาท จากระดับ 15.00 บาท ณ ราคาปิดช่วงเช้า และปิดที่ระดับ 15.40 บาท เพิ่มขึ้น 3.36%DoD ขณะที่วันนี้ (5 พฤศจิกายน) ราคาหุ้น TU ปรับตัวขึ้นต่อเล็กน้อยสู่ระดับ 15.70 บาท และปิดช่วงเช้าที่ระดับ 15.40 บาท
มุมมองระยะสั้น:
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/63 SCBS คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น YoY เนื่องจากการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนยอดขายอาหารทะเลแปรรูป ซึ่งให้อัตรากำไรสูงท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ผลประกอบการอาจปรับตัวลดลง QoQ เนื่องจากปัจจัยทางฤดูกาล
ขณะที่ผลประกอบการของ Red Lobster ไตรมาส 4/63 มีแนวโน้มทรงตัว YoY แต่จะลดลง QoQ เนื่องจากปัจจัยทางฤดูกาล
มุมมองระยะยาว:
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2564 SCBS มองว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจ Red Lobster และยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง
ข้อมูลเพิ่มเติม:
%YoY คือเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเดียวกับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
%QoQ คือเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์