‘เกียรตินาคินภัทร’ แนะเกาะติด ‘บลูเวฟ’ ระบุหากสหรัฐฯ มีรัฐบาลควบ 2 สภาจะส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูง
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า นอกจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว นักลงทุนทั่วโลกยังติดตามเรื่องผลการเลือกตั้งของสภาสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา การมีสองสภาที่มาจากพรรคที่ต่างกันเป็นปัญหาของสหรัฐฯ มาตลอด ซึ่งจะส่งผลต่อการขานรับและนำใช้นโยบายต่างๆ
“ในรอบนี้ถ้าไบเดนชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดี แต่สภาสูงไม่มา ก็จะเกิดปัญหาเดิมๆ ในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นหากรอบนี้ได้บลูเวฟ การผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ ก็จะง่ายขึ้น”
ทั้งนี้แนะนำให้เกาะติด 4 ปัจจัยคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐอเมริกา, เรื่องนโยบายการค้ากับนานาประเทศ, เรื่องความสัมพันธ์กับจีน และเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งแม้ว่าทั้งสองผู้ท้าชิงจะมีเป้าหมายเดียวกันคือพัฒนาและสร้างการเติบโตให้กับสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง แต่วิธีการต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยปัจจัยแรกคือเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หาก โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้ง ก็น่าจะได้เห็นมูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ ที่มหาศาล แหล่งเงินทุนจะมาจากการเก็บภาษีภาคเอกชน และภาษีตลาดทุนที่สูงขึ้น
ส่วนปัจจัยที่ 2 เรื่องนโยบายการค้ากับนานาประเทศ หาก โจ ไบเดน ได้ น่าจะได้เห็นการเจรจาการค้าต่างๆ กับนานาประเทศเยอะขึ้น และจะได้เห็นสหรัฐฯ เจรจาการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่นๆ สูงขึ้น
ปัจจัยที่ 3 ความสัมพันธ์กับจีน เรื่องนี้มีความชัดเจนเหมือนกันทั้ง 2 ผู้สมัคร คือมองประเทศจีนเป็นศัตรูอันดับ 1 ทั้งนี้หาก โจ ไบเดน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เราจะได้เห็นรูปแบบและวิธีการกีดกันหรือกดดันทางการค้าที่มีแบบแผนขึ้น รวมถึงจะเห็นสหรัฐฯ เริ่มหาพันธมิตรและจับกลุ่มกันกีดกันประเทศจีน ซึ่งเรื่องของกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ หรือวิถีสากลต่างๆ เป็นเรื่องที่เราติดตามเช่นกัน
“แต่ถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตามที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้ตลอดตอนที่หาเสียง ซึ่งในมุมนักเศรษฐศาสตร์ การที่ทุกอย่างเหมือนเดิม ก็เท่ากับเราจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอยู่เหมือนที่เจอมาตลอด 2 ปี”
พิพัฒน์กล่าวเพิ่มว่า การเปลี่ยนประธานาธิบดีก็คือการเปลี่ยนนโยบาย เพราะนโยบายของทั้งสองคนเขากลับด้านกัน เพราะฉะนั้นเรายังติดตามสถานการณ์ก่อนการลงทุน และเข้าใจสินทรัพย์ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า