จากทั้งหมด 50 รัฐของสหรัฐฯ อาจมีเพียงไม่กี่รัฐเท่านั้นที่สำคัญขนาดที่สามารถตัดสินชี้ขาดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ เพราะรัฐส่วนใหญ่ ล้วนเลือกข้างชัดเจน ว่าจะสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยม (Conservative) หรือฝ่ายเสรีนิยม (Liberal) โดยบทความของ CNN เลือก 9 รัฐน่าจับตาที่อาจกุมชะตาผู้ชนะครั้งนี้
ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงศึกเลือกตั้ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน และ โจ ไบเดน ผู้สมัครจากเดโมแครต ต่างใช้เวลาในการหาเสียงโดยมุ่งเน้นไปที่รัฐสำคัญเหล่านี้ ซึ่งคะแนนเสียงเพียงไม่กี่พันคะแนน อาจทำให้คว้าชัยและได้เสียงสนับสนุนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ไปทั้งหมดตามกฎ Winner Takes All นั่นเอง
สำหรับ 9 มลรัฐสำคัญนี้ แต่ละรัฐมีจำนวนผู้แทนคณะผู้เลือกตั้งกี่คน และผู้สมัครคนใดได้รับความนิยมมากกว่า
รัฐมิชิแกน:
รัฐนี้มีคณะผู้เลือกตั้ง 16 คน ซึ่งทรัมป์ชนะในปี 2016 แต่ความนิยมตอนนี้เอนเอียงไปทางไบเดนมากกว่า
ทั้ง ฮิลลารี คลินตัน หรือใครก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าทรัมป์จะเอาชนะในรัฐนี้ได้ในปี 2016 ซึ่งครั้งนั้น ทรัมป์เอาชนะใจกลุ่มชนชั้นแรงงานผิวขาวไปได้
แต่สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ไบเดนมุ่งเอาชนะทรัมป์ด้วยการสร้างคะแนนนิยมในกลุ่มชาวอเมริกันผิวขาวที่มีการศึกษาน้อย โดยคาดว่าจะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าคลินตันมาก เพราะไบเดนยังให้การสนับสนุนผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำจำนวนมากในเมืองดีทรอยต์ และได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประชาชนในเขตชานเมือง
รัฐวิสคอนซิน:
มีคณะผู้เลือกตั้ง 10 คน โดยทรัมป์ชนะในปี 2016 แต่ความนิยมตอนนี้เอนเอียงไปทางไบเดนเช่นกัน
วิสคอนซินเป็นอีกรัฐที่พรรคเดโมแครตคิดว่าเอาชนะได้แน่นอนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้แก่ทรัมป์ เนื่องจากชาววิสคอนซินได้เห็นรอยร้าวแห่งฐานอำนาจของเสรีนิยม จากการถดถอยของอุตสาหกรรมการผลิตและการผลักดันข้อตกลงการค้าเสรีที่รัฐบาลเดโมแครตสนับสนุน ในขณะที่อิทธิพลของสหภาพแรงงานนั้นลดน้อยลง
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ คาดว่าทรัมป์จะได้คะแนนเสียงจากกลุ่มประชาชนในพื้นที่ยากไร้ ขณะที่ไบเดนมองหาชัยชนะที่ใหญ่กว่าในเมืองมิลวอกี และพื้นที่ชานเมือง รวมถึงเมืองแห่งมหาวิทยาลัยเสรีนิยมอย่างเมดิสัน
รัฐไอโอวา:
มีคณะผู้เลือกตั้ง 6 คน ทรัมป์ชนะในปี 2016 ขณะที่ความนิยมตอนนี้ยังคงสูสี สามารถออกได้สองหน้า
ทรัมป์อาจแทบไม่ต้องเหนื่อยกับการปกป้องฐานเสียงในรัฐนี้ เนื่องจากทั่วทั้งรัฐเป็นสีแดง (สีสัญลักษณ์ของรีพับลิกัน) แทบทั้งหมด ยกเว้นเมืองศูนย์กลางที่มีประชากรมากที่สุดอย่าง ดิมอยน์, ซีดาร์แรพิดส์ และเมืองดาเวนพอร์ต ทางตะวันออก
ในปี 2016 ทรัมป์ยังเอาชนะคลินตันในรัฐนี้ด้วยคะแนนนำกว่า 9% และที่ผ่านมา เขาทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วยเหลือเกษตรกรในรัฐนี้ แม้ว่าชาวไอโอวาจำนวนมาก จะรู้สึกได้ถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่ทรัมป์เปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีน ขณะที่การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ยังส่งผลกระทบอย่างหนักในรัฐนี้ และทำให้เห็นความล้มเหลวของทรัมป์ในการรับมือกับวิกฤตโรคระบาด
รัฐโอไฮโอ:
รัฐนี้มีคณะผู้เลือกตั้ง 18 คน ทรัมป์ชนะในปี 2016 ขณะที่ความนิยมในแคนดิเดต 2 คนตอนนี้ยังคงสูสี เหมือนกับรัฐไอโอวา
ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของเดโมแครต เคยชนะในรัฐโอไฮโอ 2 ครั้ง แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าสถานะของรัฐนี้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐ Swing State หรือรัฐที่คะแนนเสียงไม่แน่นอนของฝั่งมิดเวสต์เอนเอียงไปทางรีพับลิกันมากขึ้น
สำหรับไบเดน การเลือกตั้งครั้งนี้ เขาเน้นเพิ่มคะแนนเสียงจากกลุ่มชนชั้นแรงงานผิวขาวและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้เขาคว้าชัยชนะได้
และตามสถิติที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้สมัครจากรีพับลิกันคนใดที่พ่ายแพ้ในรัฐนี้ แต่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าหากทรัมป์พ่ายในรัฐนี้ เขาอาจต้องปิดฉากการทำหน้าที่ในทำเนียบขาว เนื่องจากดูเหมือนว่ารัฐ Swing State อื่นๆ ในแถบมิดเวสต์ต่างก็เอนไปทางไบเดนแล้ว
รัฐเพนซิลเวเนีย:
รัฐนี้มีคณะผู้เลือกตั้ง 20 คน ทรัมป์ชนะในปี 2016 แต่ความนิยมตอนนี้เอนเอียงไปทางไบเดน
ในช่วงโค้งสุดท้ายที่การเลือกตั้งใกล้จะมาถึง ผู้สมัครแต่ละฝ่ายต่างก็พุ่งเป้าไปที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสมรภูมิและหลักชัยสำคัญที่ชี้วัดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทรัมป์เคยคว้าชัยชนะในรัฐนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว พร้อมกับปิดฉากชัยชนะต่อเนื่อง 6 ครั้งของเดโมแครตในรัฐนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับไบเดนในการพลิกเอาชนะในรัฐนี้ คือการคว้าชัยในเมืองใหญ่อย่างฟิลาเดลเฟีย พิตต์สเบิร์ก และพื้นที่ชานเมืองเหล่านี้
รวมถึงเอาชนะในพื้นที่ฐานเสียงของทรัมป์อย่างพื้นที่ยากไร้ และเมืองแห่งชนชั้นแรงงานอย่าง สแครนตัน ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของไบเดน
รัฐนอร์ทแคโรไลนา:
คณะผู้เลือกตั้ง 15 คน ทรัมป์ชนะในปี 2016 และความนิยมตอนนี้สูสี
สัญญาณแรกที่แสดงให้เห็นว่า นอร์ทแคโรไลนา กำลังเปลี่ยนสถานะจากฐานเสียงของรีพับลิกัน ไปสู่รัฐ Swing State เกิดขึ้นเมื่อโอบามาพลิกชนะในรัฐนี้อย่างฉิวเฉียดเมื่อปี 2008
การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก และศูนย์การแพทย์ที่มีความทันสมัย ทำให้รัฐนี้มีกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ทั้งกลุ่มชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และกลุ่มชนพื้นเมืองที่มีการศึกษาสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่รัฐนี้ยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ทรัมป์ควรรักษาฐานเสียงไว้ให้ได้หากจะชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2
รัฐจอร์เจีย:
คณะผู้เลือกตั้ง 16 คน ทรัมป์ชนะในปี 2016 ขณะที่ความนิยมตอนนี้ยังคงสูสีเช่นกัน
จอร์เจียถือเป็นฐานที่มั่นอีกแห่งของรีพับลิกัน ซึ่งผู้สมัครของเดโมแครตที่ผ่านมา พยายามหาทางพลิกเอาชนะ
แต่การเพิ่มขึ้นของชาวผิวสีชนชั้นกลาง และการขยายตัวของผู้คนในเขตชานเมือง ซึ่งทรัมป์ดูแลคนกลุ่มนี้ไม่ดีนัก ทำให้เดโมแครตมีความหวังมากขึ้นเป็นพิเศษในการเลือกตั้งครั้งนี้
ขณะที่จอร์เจียยังเป็นรัฐสำคัญในการแข่งขันชิงเก้าอี้วุฒิสภา จากการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งชัยชนะในรัฐนี้อาจเป็นตัวตัดสินว่าเดโมแครตจะกลับมาครองที่นั่งเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นของรีพับลิกันได้หรือไม่
รัฐแอริโซนา:
มีคณะผู้เลือกตั้ง 11 คน ทรัมป์ชนะในปี 2016 แต่ความนิยมตอนนี้เอนเอียงไปทางไบเดน
แอริโซนาเป็นอีกรัฐหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงของประชากร ทำให้เดโมแครตมีความหวังในการเอาชนะฐานเสียงของรีพับลิกันในรัฐนี้มากขึ้น
โดยแอริโซนาถือเป็นบ้านของ แบร์รี โกลด์วอเตอร์ อดีตวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันและเป็นบิดาแห่งกลุ่มอนุรักษนิยมสมัยใหม่ อีกทั้งยังเป็นรัฐที่มีผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนมาก แต่เดโมแครตเชื่อว่าผลเลือกตั้งในรัฐนี้สามารถเปลี่ยนขั้วได้ หลังจากในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อปี 2018 ผู้สมัคร ส.ว. จากเดโมแครต เป็นฝ่ายเอาชนะในรัฐนี้ไปได้
รัฐฟลอริดา:
รัฐนี้มีคณะผู้เลือกตั้ง 29 คน ซึ่งมากที่สุดในบรรดา 9 รัฐที่กล่าวมา เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์คว้าชัยในรัฐนี้ได้ ขณะที่การเลือกตั้งหนนี้ยังออกได้สองหน้า เพราะทรัมป์และไบเดนมีความนิยมที่ขับเคี่ยวกันสูสี
ฟลอริดาเป็นรัฐ Swing State ที่คะแนนเสียงแกว่งไปมามากกว่ารัฐอื่นๆ และในปี 2000 เกิดข้อขัดแย้งขึ้น ซึ่งศาลสูงต้องเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ทำให้ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดี
ประชากรในรัฐนี้มีหลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่สนับสนุนทรัมป์แบบสุดขั้ว กลุ่มผู้เกษียณอายุที่ไม่นิยมทรัมป์ กลุ่มประชาชนในเขตชานเมืองที่มีจำนวนมากที่สุด และกลุ่มผู้พลัดถิ่นเชื้อสายเวเนซุเอลาและคิวบา ตลอดจนกลุ่มฮิสแปนิกที่พูดภาษาสเปน
ที่ผ่านมา ฟลอริดาถือเป็นรัฐที่ผู้สมัครของทั้งสองพรรคได้คะแนนเสียงใกล้เคียง ห่างกันเพียง 1-2% และในตอนนี้ก็ยังไม่มีใครฟันธงได้ว่าทรัมป์หรือไบเดนจะเอาชนะในรัฐนี้ไปได้ แต่คาดว่าผลที่ออกมาจะค่อนข้างสูสี
ผลจะออกมาเป็นอย่างไร จะพลิกโผหรือไม่ แล้วใครจะกวาดชัยชนะใน 9 รัฐนี้ได้มากที่สุด อีกไม่นานเราจะได้รู้คำตอบ
ภาพ: ShutterStock
พบกับเว็บไซต์พิเศษ US ELECTION 2020 เกาะติดศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ทั้งสถานการณ์ล่าสุดและบทความเจาะลึก ได้ที่นี่ https://thestandard.co/us-election-2020/
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: