เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน Defense & Security 2017 ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 6-8 พฤศจิกายน โดยมีบริษัทต่างๆ ทั่วโลกจำนวน 406 บริษัท จาก 42 ประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประเทศต่างๆ ผู้แทน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทหาร ตำรวจ ภาคเอกชน และบุคคลที่สนใจเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง
โดยพลเอก ประวิตร กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานที่ผ่านมาเป็นที่ยอมรับว่างานนี้มีความสำคัญในระดับภูมิภาคเอเชีย และเป็นงานนิทรรศการทางทหารที่นำอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยจากนานาประเทศมาจัดแสดงครอบคลุมทุกมิติอย่างครบถ้วน ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมถึงการบรรเทาสาธารณภัยมาร่วมจัดแสดงในงานนี้ ดังนั้นตนขอบคุณกระทรวงกลาโหมจากมิตรประเทศ ผู้แทนเอกอัครราชทูต และทุกคนที่ให้เกียรติมางานนี้ รวมถึงผู้ประกอบการที่มาร่วมแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ในงานครั้งนี้
จากนั้นพลเอก ประวิตร เดินชมอาวุธยุทโธปกรณ์ภายในนิทรรศการ และได้เข้าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจากสิงคโปร์ ยูเครน และแอฟริกาใต้
พลเอก ประวิตร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการพูดคุยว่า งานครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่มากกว่าครั้งที่แล้ว พร้อมเปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานซ่อมบำรุงและซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ในไทย โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในปลายปี 2561 และยืนยันว่าการก่อสร้างไม่ได้ล่าช้า เพราะกำลังเริ่มต้นกฎหมายที่ต้องปรับแก้ไข
ส่วนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศนั้น ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้สำเร็จและเชื่อว่าจะสามารถทำได้ อุปกรณ์บางอย่างไทยสามารถผลิตได้เอง แต่ถ้าผลิตเองแล้วต้นทุนยังสูงก็ต้องมีการจัดซื้อ
สำหรับงาน Defense & Security 2017 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 พฤศจิกายน 2560 ณ อาคาร 6-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยภายในงานดังกล่าวจะจัดแสดงยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีด้านการทหารและความปลอดภัยระดับเอเชีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกระทรวงกลาโหม
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการนำเสนอยุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์ครอบคลุมทั้ง 3 เหล่าทัพ เทคโนโลยีและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเพื่อกิจการความมั่นคงภายในจากผู้ประกอบการและผู้ผลิตชั้นนำกว่า 400 รายจาก 50 ประเทศ รวมทั้งพาวิลเลียนนานาชาติกว่า 25 ประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี จีน เกาหลี และรัสเซีย
อ้างอิง: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์