คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีที่สุดเมื่อเกิดอาการป่วย แต่สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้น ไม่เพียงแต่แตกต่างจากผู้ป่วยโควิด-19 ชาวอเมริกันทั่วไป แต่เรียกได้ว่าเป็นการรักษาที่ผู้ป่วยทั่วไป ‘ยังเข้าไม่ถึง’
“ผมรู้สึกดีกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนเสียอีก” คือข้อความที่ทรัมป์โพสต์ทางทวิตเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 ตุลาคม) หลังเข้ารับการรักษาอาการป่วยจากโควิด-19 ที่โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ข้อความนี้สะท้อนถึงผลสำเร็จของการรักษาที่ทำให้ทรัมป์แข็งแรงขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 4 วัน โดยในวันศุกร์ (2 ตุลาคม) ก่อนเข้าโรงพยาบาล เขาได้รับการรักษาด้วยยาที่เรียกว่าค็อกเทลภูมิคุ้มกัน ชื่อ REGN-COV2 ของบริษัทยา Regeneron ซึ่งมีสรรพคุณลดระดับไวรัสและบรรเทาอาการของผู้ป่วย เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่เข้ารักษาในโรงพยาบาล
ยาตัวนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพการรักษาที่ดีเยี่ยม ดูได้จากผลลัพธ์ในการทดลองให้ยาแก่ผู้ป่วย 275 ราย แต่ข้อสังเกตที่น่าตกใจเพียงอย่างเดียวคือ มันยังอยู่ระหว่างการทดลองในระยะที่ 3 และยังไม่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) สหรัฐฯ ให้ใช้งานกับผู้ป่วยได้ในกรณีฉุกเฉิน
โดยบริษัท Regeneron เปิดเผยว่า ได้ให้ยาดังกล่าวต่อทีมแพทย์ประจำตัวของทรัมป์ หลังได้รับคำขอใช้ยาตามกระบวนการ ‘Compassionate Use’ หรือคำขอใช้ยาอย่างการุณย์ ซึ่งเป็นกลไกอนุมัติการใช้ยาที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
แต่สำหรับประชาชนอเมริกันส่วนใหญ่แล้ว การเข้าถึงยาที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติผ่านกลไกนี้อาจใช้เวลายาวนานและเป็นกระบวนการที่ ‘ไม่ง่าย’ เนื่องจากมีข้อกำหนดหลายอย่าง อาทิ โรคที่เป็นต้องร้ายแรงถึงชีวิต ไม่มีหนทางรักษาอื่น และไม่ได้เข้าร่วมโครงการทดลองยาใดๆ รวมถึงได้รับความเห็นชอบจากแพทย์และบริษัทยา
แต่ทรัมป์ได้รับการรักษาด้วยยานี้ในวันศุกร์เพียงวันเดียว หลังจากที่ยืนยันผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก
“แน่นอนว่านี่คือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขาต้องได้รับการรักษาทุกอย่างในทางการแพทย์ โดยเสนอทั้งหมดที่มี ไม่ว่ามันจะได้รับการอนุมัติให้ใช้งานฉุกเฉินแล้วหรือไม่ก็ตาม ในกรณีการรักษาด้วยแอนติบอดี” ดร.ซีมา แยสมิน นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว พร้อมชี้ว่า มีชาวอเมริกันเกือบ 210,000 คน ที่เสียชีวิตเพราะความย่ำแย่ในการรับมือวิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาลทรัมป์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าคนเหล่านี้ไม่มีโอกาสเข้าถึงยาหรือกระบวนการรักษาแบบเดียวกับทรัมป์
ทรัมป์อาจเป็นผู้ป่วยคนเดียวในโลกที่ได้รับการรักษาด้วยสูตรยา 3 ชนิด
นอกจากยา REGN-COV2 ทรัมป์ยังได้รับการรักษาโรคโควิด-19 ด้วยยาเรมเดซิเวียร์และยาเดกซาเมทาโซน โดย ดร.โจนาธาน เรเนอร์ ศาสตราจาร์ยด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า ทรัมป์อาจเป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียวในโลก ที่เคยได้รับการรักษาด้วยสูตรยา 3 ชนิดนี้
ยาเรมเดซิเวียร์นั้นเป็นยาต้านไวรัสที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในกรณีฉุกเฉิน แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยทั่วไป โดยมันยังสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น โรคโลหิตจาง หรือตับและไตเป็นพิษ
ตามปกติแล้วผู้ป่วยโควิด-19 นั้นจะต้องได้รับยาเรมเดซิเวียร์ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่ ดร.ฌอน คอนลีย์ แพทย์ประจำตัวของทรัมป์ อนุญาตให้เขากลับไปพักที่ทำเนียบขาวได้ แม้จะยังไม่เสร็จสิ้นการรักษา เนื่องจากทรัมป์ยังสามารถรับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดได้จากทีมแพทย์ระดับโลกที่ประจำอยู่ในทำเนียบขาว
ส่วนยาเดกซาเมทาโซนนั้นเป็นยาลดการอักเสบที่มีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ซึ่งแม้จะมีผลการทดลองบ่งชี้ว่า มันสามารถลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ แต่ก็มีผลในแง่ลบคือ กดระบบภูมิคุ้มกันด้วย จึงไม่แนะนำสำหรับใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 หากอาการยังไม่ทรุดหนักเข้าขั้นร้ายแรง อีกทั้งพบว่าผู้ป่วยบางรายยังคงเสียชีวิตหลังจากที่ได้รับยาไปไม่ถึง 1 เดือน
ซึ่งข้อสรุปที่ได้จากสูตรยาทั้ง 3 ชนิดนี้ แสดงให้เห็นว่า แพทย์พิจารณาอาการป่วยของทรัมป์อยู่ในระดับที่อันตรายร้ายแรง โดยแม้ว่า ดร.คอนลีย์ จะมั่นใจว่าผู้ป่วยของเขาแข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่เขาก็ยอมรับเช่นกันว่ามีความกังวลที่อาการของทรัมป์นั้นอาจทรุดลงอีกรอบ
“นั่นเป็นเหตุผลที่เราทุกคนยังคงมองโลกในแง่ดีและระมัดระวัง เพราะว่าเราอยู่ในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก เมื่อพูดถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสูตรยาดังกล่าวตั้งแต่ช่วงแรกของกระบวนการรักษา” ดร.คอนลีย์ กล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
