บางทีหนังที่อธิบายตัวตนและความทะเยอทะยานซึ่งดูเหมือนไม่มีขีดจำกัดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือหนังที่คนไม่ค่อยพูดถึงเท่าไรนักเรื่อง The Prestige (2006)
เนื้อหาว่าด้วยการขับเคี่ยวของนักมายากลสองคนผู้ซึ่งพยายามเนรมิตการแสดงที่เป็นไปไม่ได้ และต่างฝ่ายต่างอุทิศสรรพกำลังหมดที่มีอยู่เพื่อเอาชนะคะคาน นั่นรวมถึงการเล่นตุกติกนอกกติกา และความหมกมุ่นลุ่มหลงเลยเถิดไปไกลถึงขั้นมีคนตาย หรือแม้กระทั่งตัวละครเอาชีวิตเข้าแลก และทั้งหมดทั้งมวลได้รับการอรรถาธิบายผ่านหนึ่งในสองตัวละครหลักของเรื่อง ผู้ซึ่งคำว่ายกธงขาวยอมแพ้ไม่เคยมีอยู่ในปทานุกรม สรุปสาระสำคัญได้ว่าจุดประสงค์ของความทุ่มเทในระดับเสียสติของเขาก็เพื่อสร้างความพิศวงงงงวยให้กับผู้ชม และการได้เห็นสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดก็เปรียบเสมือนคุณค่าอันแสนวิเศษและบำเหน็จรางวัลอย่างงดงาม
มองในแง่มุมหนึ่ง คริสโตเฟอร์ โนแลน ในฐานะนักมายากลไม่ได้กำลังขับเคี่ยวกับใครเลยนอกจากตัวเขาเอง และไม่ว่าลึกๆ แล้วจะนับเป็นความตั้งใจของเขาหรือไม่อย่างไร หนังเรื่องแล้วเรื่องเล่าไม่ได้เป็นเพียงแค่การฉีกออกไปจากกรอบที่ซ้ำซากจำเจ หากยังท้าทายตัวเองด้วยโจทย์หรือเงื่อนไขที่ถ้าจะพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า ‘บ้าบอคอแตก’ มากขึ้นเรื่อยๆ ไล่คร่าวๆ ตั้งแต่การเล่าเรื่องถอยหลังใน Memento, เรื่องฝันซ้อนฝันใน Inception, การบิดผันอดีตและอนาคตผ่านมิติที่ห้าใน Interstellar, การบีบอัดกรอบเวลาของสามเหตุการณ์ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สองไว้ใน ‘ไทม์ไลน์’ เดียวกันใน Dunkirk และล่าสุด Tenet หนังที่เข็มนาฬิกาไม่ได้เพียงแค่เดินไปข้างหน้า ทว่ายังเดินถอยหลังไปพร้อมๆ กัน
และสมมติว่าการสร้างความฉงนฉงายเป็นเป้าประสงค์หลักของโนแลน ก็อาจกล่าวได้ว่าเขาไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากหนังเรื่องไหนเท่ากับ Tenet อีกแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า Tenet เป็นหนังที่โนแลน ‘ไปไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็น’ และไม่ใช่ทุกคนที่เดินออกจากโรงจะ ‘แจ่มแจ้งและปรุโปร่ง’ กับสิ่งที่บอกเล่า อย่างน้อยก็ในการดูหนังเรื่องนี้รอบแรก พูดอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นโชว์อันแสนวิเศษที่ตัวนักมายากลเหมือนกับออกแบบมาอย่างละเอียดและประณีต แต่ความสัมฤทธิ์ผลของการแสดงบันลือโลกครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเข้าถึงของผู้ชมด้วยเหมือนกัน
แต่ก็อีกนั่นล่ะ ใครจะเรียกว่าเป็นความสำเร็จหรือล้มเหลวก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้ แต่เจตนารมณ์ในการทำหนังที่ท้าทายเพดานการรับรู้สูงสุดของผู้ชมอย่างชนิดไม่ลดราวาศอกเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการคารวะจริงๆ หมายความว่าด้วยทุนสร้างมหึมาและความอลังการของโปรดักชัน Tenet ก็ถูกลิขิตให้เป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ซึ่งควรจะเพลย์เซฟด้วยการย่อยง่ายและมีลักษณะสำเร็จรูป แต่สปิริตหรือจิตวิญญาณของ Tenet ก็มีความเป็นหนังทดลองที่ไม่ยอมจำนนให้กับกรอบและกฎเกณฑ์ และพาผู้ชมไปสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในทางภาพยนตร์
อีกอย่างหนึ่งที่ควรพูดถึงในคราวเดียวกันนี้ก็คือ Tenet ไม่ได้เป็นหนังที่ซับซ้อนในแง่ของพล็อตซึ่งผูกโยงอยู่กับการเดินทางย้อนอดีตเพียงอย่างเดียว แต่เนื้อหาในส่วนที่พูดถึง ‘การเดินถอยหลังของเวลา’ ก็ทำให้ Tenet กลายเป็นประสบการณ์จำเพาะในทางภาพยนตร์ เนื่องจากภาพยนตร์เป็นรูปแบบทางศิลปะไม่กี่แขนงที่เอื้ออำนวยให้ผู้สร้างยักย้ายถ่ายเท บิดเบือน หรือแม้กระทั่งฉ้อโกงสิ่งที่เรียกว่าเป็นทรัพยากรหลัก อันได้แก่ ‘เวลา’ (Time) และ ‘พื้นที่’ (Place) ในลักษณะเช่นใดก็ได้ตราบเท่าที่มโนทัศน์และจินตทัศน์ของผู้สร้างจะสามารถดลบันดาล
หนึ่งในห้วงเวลาที่น่าเชื่อว่าผู้ชมไม่นึกว่าจะได้เห็น (ช็อตนี้ปรากฏอยู่ในเทรลเลอร์) ได้แก่ ฉาก ‘ตึกที่ถูกระเบิด’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถอยหลังและเดินหน้าในช็อตเดียวกัน หรือฉากขับรถไล่ล่า (ปรากฏในเทรลเลอร์เช่นกัน) บนท้องถนนที่ยึดโยงคอนเซปต์เรื่องความย้อนแย้งของกาลเวลาแบบเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่าไม่ว่าผู้ชมจะเดินหลงไปในเขาวงกตของการเล่าเรื่องและหาทางออกไม่ได้หรือไม่อย่างไร งานด้านวิชวลที่แข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลายของหนังโนแลนก็ยังคงเป็นส่วนที่ติดแน่นทนนานและตราตรึงความรู้สึกไม่มีวันเสื่อมคลาย
และไหนๆ ข้อเขียนนี้ก็ตอกย้ำถึงความน่างุนงงสับสนของหนังเรื่อง Tenet จนทำท่าว่ามันจะกลายเป็นตราบาปไปโดยปริยาย พูดอย่างแฟร์ๆ ก็ต้องบอกว่าการดูหนังรอบสองช่วยปลดล็อกความน่าสงสัยของเนื้อหาไปได้เยอะทีเดียว (ซึ่งแปลว่าหนังไม่ได้มั่ว และมีตรรกะรองรับอย่างแน่นหนารัดกุม อย่างน้อยก็ในตอนที่ได้ดูอีกรอบ) และว่ากันตามจริง ตัวการที่สร้างความน่าเวียนหัวให้กับหนังเกี่ยวโยงกับกลไกบางอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ในโลกอนาคตคิดค้นเอาไว้ ซึ่งก็อย่างที่กล่าวข้างต้น ไม่ได้เพียงแค่เปิดโอกาสให้ตัวละครย้อนกลับไปในอดีตเหมือนหนังทั่วไป แต่มันเป็นการเดินทางสวนกาลเวลา (หรือที่เรียกว่า Time Inversion) อันเป็นผลพวงให้ตัวละครที่มาจากอีกมิติพบเจอสภาวะที่ทุกอย่างเคลื่อนถอยหลัง (หรือมองในมุมกลับ ใครคนดังกล่าวต่างหากที่เคลื่อนถอยหลัง ขณะที่โลกยังคงหมุนไปข้างหน้าเหมือนเดิม) และสมมติว่านั่นดูยุ่งเหยิงไม่พอ ผู้ชมยังเห็นตัวละครต่างมิติชกต่อยกันซึ่งกลายเป็นช่วงเวลาที่ทั้งแปลกประหลาดและทุลักทุเล เนื่องจากต่างก็อยู่ภายใต้กฎของแรงโน้มถ่วงที่ไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งชนิดของอากาศที่หายใจเข้าไป
ความปั่นป่วนอีกอย่างได้แก่ลำดับก่อนหลังของเรื่องราว ว่าไปแล้วรูปการณ์ของ Tenet คล้ายคลึงกับหนังเรื่อง Memento ที่ผู้ชมต้องปะติดปะต่อตำแหน่งแห่งหนของแต่ละฉากซึ่งไม่ได้เรียงเนื้อหาตามเหตุและผลอย่างเป็นระบบระเบียบในแบบที่คุ้นเคย แต่ก็อีกนั่นล่ะ สภาวะอลหม่านของข้อมูลข่าวสารก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความยอกย้อนซ่อนเงื่อนซึ่งนับเป็นขนบหรือคุณสมบัติของหนังแนวจารชน และหากจะกล่าวอย่างรวบยอดและไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนังจนเกินไป พล็อตของ Tenet สามารถสรุปได้ในหนึ่งหรือสองประโยค ตัวเอกของเรื่องต้องยับยั้งผู้ร้ายจากการครอบครองอุปกรณ์บางอย่าง ซึ่งจะทำให้หมอนั่นมีอำนาจทำลายล้างโลกใบนี้แบบเดียวกับธานอส และการเดินทางข้ามกาลเวลาและย้อนเวลาก็มีสถานะเป็นส่วนผสมหรือเครื่องปรุงรสชาติที่ทำให้เนื้อหาที่โนแลนบอกเล่าเพิ่มดีกรีของความเข้มข้นและจัดจ้านมากขึ้น
อีกหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้สถานการณ์เบื้องหน้ายิ่งอ่อนไหวเปราะบาง ได้แก่ การที่ตัวเอกของเรื่อง (จอห์น เดวิด วอชิงตัน) ตกที่นั่งคล้ายคลึงกับบรรดานักสืบในหนังฟิล์มนัวร์ (ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดแทรกอยู่ในหนังของโนแลนหลายเรื่อง) หมายความว่าไม่ว่าเจ้าตัวจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด เขาก็ไม่รู้ทุกเรื่อง และต้องปะติดปะต่อโน่นนี่นั่นแบบผิดๆ ถูกๆ ไปเรื่อยๆ หรือจริงๆ แล้วความไม่รู้ทุกเรื่องของเขาก็นำพาให้หลายครั้งหลายคราเจ้าตัวต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่กว่าจะเอาตัวรอดไปได้ก็เล่นเอาสะบักสะบอม โดยปริยาย การที่ผู้ชมถูกกำหนดให้เฝ้าติดตามตัวละครหลักของเรื่องที่คุมสถานการณ์ไม่ได้ตลอดเวลาก็สร้างทั้งภาวะลุ้นระทึกและใจหายใจคว่ำไปพร้อมๆ กัน
ไม่ว่าจะอย่างไร ส่วนที่เหมือนดำรงอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในหนังเรื่อง Tenet ทว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ ดราม่าที่ว่าด้วยความล่มสลายของครอบครัว และแฟนหนังของโนแลนคงสังเกตได้ว่ามันเป็นเสมือนรหัสพันธุกรรมในหนังของเขาทุกเรื่อง ไม่มากไม่น้อย มันทำให้ความซับซ้อนหรือแม้กระทั่งความยุ่งเหยิงของพล็อตกลายเป็นเพียงภาพลวงตา และแก่นสารที่แท้จริงของหนังเป็นเรื่องที่ผู้ชมเกี่ยวข้องเชื่อมโยงได้ไม่ยากเย็น ส่วนที่น่าเจ็บปวดขื่นขมเมื่อใครลองนึกย้อนกลับไปก็ตรงที่ ‘ส่วนหนึ่งของเรื่องยุ่งยากทั้งหมด’ ในหนังปะทุขึ้นมาจากความเข้าใจผิดที่น่าสมเพชเวทนาของตัวละคร และมันส่งผลอย่างชนิดวายป่วงและบานปลาย และหากพินิจพิเคราะห์แบบเชื่อมโยงกับตัวละครอื่นๆ ในหนังก่อนหน้าของโนแลน ย้อนกลับไปได้ไกลถึงตัวเอกใน Memento, Inception จนถึง Interstellar คาแรกเตอร์สำคัญเหล่านั้นล้วนโหยหาความสุขในชีวิตซึ่งเป็นเรื่องเรียบง่าย อันได้แก่ การได้อยู่กับคนรักและครอบครัว ทว่าจนแล้วจนรอด ความมุ่งมาดปรารถนาสูงสุดของพวกเขากลับเป็นไปได้เพียงแค่ในรูปของความทรงจำหรืออดีตที่ผ่านเลย
อย่างไรก็ตาม อีกส่วนที่หนังถ่ายทอดได้อย่างมีเสน่ห์ดึงดูด ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกของเรื่องกับ นีล (โรเบิร์ต แพตทินสัน ในบทบาทที่น่าจดจำ) คู่หูของเขา ผู้ซึ่งคนดูแทบไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง กระทั่งดูมีลับลมคมใน ทว่ายิ่งเวลาผ่านพ้นไป เขากลับครอบครองคุณสมบัติซึ่งเป็นบางสิ่งที่หายากมากๆ ในหนังจารกรรมที่ผู้คนชิงไหวชิงพริบและหักเหลี่ยมเฉือนคม นั่นคือความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งทีละน้อยมันก็พัฒนาไปสู่มิตรภาพที่งอกงาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘โบรแมนซ์’ ระหว่างตัวเอกของเรื่องกับนีลจุดประกายความสว่างไสวให้กับพื้นที่ในหัวใจของผู้ชมท่ามกลางความหม่นมืดกระทั่งดูสิ้นหวังของเรื่องราว
อย่างที่ทุกคนรับรู้รับทราบ กำหนดการเข้าฉายของ Tenet ถูกเลื่อนออกไป 2-3 รอบเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่จบไม่สิ้น และนับจนถึงปัจจุบัน หนังก็ยังคงลงโรงฉายทั่วโลกอย่างกระท่อนกระแท่น และนั่นไม่ต้องเอ่ยถึงการเว้นระยะห่างในโรงภาพยนตร์ พูดง่ายๆ ว่าโอกาสที่หนังจะลืมตาอ้าปากทางรายได้เป็นเรื่องที่โพล้เพล้ขมุกขมัว ยิ่งคำนึงว่าหลายคนพากันโอดครวญว่านี่ไม่ใช่หนังที่ดูง่ายดาย แต่ก็นั่นล่ะ ความอุทิศทุ่มเทและทะเยอทะยาน ตลอดจนความไม่ประนีประนอมของโนแลนเป็นเรื่องที่สมควรปรบมือให้อย่างกึกก้อง
และนั่นทำให้ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่า Tenet จะลงเอยด้วยผลแพ้หรือชนะบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ มันก็สมควรนับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของโนแลนในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญอยู่นั่นเอง
Tenet (2020)
ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ โนแลน
นักแสดง: จอห์น เดวิด วอชิงตัน, โรเบิร์ต แพตทินสัน, อลิซาเบ็ธ เดบิกกี้, เคนเน็ธ บรานาห์
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์