×

‘Empathy’ เคล็ดลับที่ ฮันซี ฟลิก ใช้เพื่อเปลี่ยนบาเยิร์นให้เป็นสุดยอดทีมอีกครั้ง

24.08.2020
  • LOADING...
‘Empathy’ เคล็ดลับที่ ฮันซี ฟลิก ใช้เพื่อเปลี่ยนบาเยิร์นให้เป็นสุดยอดทีมอีกครั้ง

“ผู้จัดการทีมบาเยิร์นคนต่อไปก็จะล้มเหลวเช่นกัน” 

 

ข้อความข้างต้นคือพาดหัวของหนังสือพิมพ์ Der Tagesspiegel เมื่อ 41 สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่บาเยิร์น มิวนิก ตัดสินใจครั้งสำคัญในการปลด นิโก โควัช โค้ชและอดีตผู้เล่นระดับตำนานของทีมชาวโครเอเชียออกจากตำแหน่ง หลังจากที่บุนเดสลีกาเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงแค่ 10 นัดเท่านั้น

 

การพ้นจากตำแหน่งของโควัชนำไปสู่คำถามมากกว่าคำตอบ เพราะในสถานการณ์นั้นเป็นเรื่องยากในการจะคิดออกว่าใครที่จะมีความสามารถในการกอบกู้ยักษ์ใหญ่แห่งบาวาเรียให้กลับมาบรรลุเป้าหมายของสโมสรด้วยการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาให้ได้ และต้องเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

 

ตลอด 1 ทศวรรษที่ผ่านมามีเพียงขรัวเฒ่าอย่าง จุ๊ปป์ ไฮย์นเกส และยอดกุนซืออัจฉริยะอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา เท่านั้นที่ทำได้ ในขณะที่ คาร์โล อันเชล็อตติ และโควัช กลายเป็นผู้ล้มเหลวแม้ว่าจะไม่ได้แล้งไร้ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม

 

แม้ว่าจะห่างจากจ่าฝูงที่เป็นม้ามืดอย่างโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค เพียงแค่ 4 คะแนน แต่การที่บาเยิร์นแพ้อย่างย่อยยับต่อไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต 1-5 จมอยู่อันดับ 4 ของตาราง โดยที่โปรแกรมนัดต่อไปของพวกเขาคือเกม ‘Der Klassiker’ กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งลงทุนมหาศาลในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา เพื่อหวังจะโค่นพวกเขาลงจากบัลลังก์ให้ได้ ทำให้สถานการณ์ในแคมป์บาวาเรียค่อนข้างอ่อนไหว

 

อย่างไรก็ดี ทางด้านฝ่ายบริหารของบาเยิร์น โดย คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก รวมถึง ‘บราสโซ’ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช อดีตยอดดาวเตะสารพัดประโยชน์ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสโมสร และ โอลิเวอร์ คาห์น อดีตยอดนายทวารที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของสโมสร ได้มีการตระเตรียมแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ช่วงปิดฤดูกาล เมื่อพวกเขาจับอาการได้ว่ามีโอกาสที่โควัช จะไม่สามารถนำบาเยิร์นขึ้นสูงได้อีกครั้ง

 

ไม่นับเรื่องแรงกระเพื่อมภายในสโมสรโดยเฉพาะจากกรณีของ โธมัส มุลเลอร์ ผู้เป็นผู้นำและสัญลักษณ์หนึ่งของสโมสรที่ถูกมองข้ามจากโควัช และเริ่มคิดถึงการย้ายออกจากรังอลิอันซ์ อารีนา ซึ่งทำให้เกิดสภาวะความไม่มั่นคงภายในทีม

 

นั่นทำให้บาเยิร์นจำเป็นต้องงัดแผนสำรองขึ้นมาใช้

 

แผนดังกล่าวมีชื่อรหัสลับสั้นๆ จำง่ายๆ ว่า ‘ฮันซี ฟลิก’

 

ฮันซี ฟลิก (เสื้อดำกลางภาพ) เป็นมือขวาของ โยอาคิม เลิฟ (ขวาสุด) และมีส่วนในการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014

 

คนเบื้องหลังที่ไม่เคยอยู่เบื้องหน้ามา 14 ปี

 

ฮันซี ฟลิก จริงๆ แล้วไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับบาเยิร์น เขาคืออดีตผู้เล่นของสโมสรในยุค 80 รุ่นเดียวกับยอดนักเตะอีกหลายคน 

 

โอลาฟ โธน หนึ่งในเพชรเม็ดงามที่มีจำนวนมากมายของวงการฟุตบอลเยอรมนีในเวลานั้น นิยามฟลิกว่าเป็นกองกลางที่ ‘ดุดัน แข็งแกร่ง และมีไหวพริบ’

 

หลังอำลาชีวิตการเล่นเขาทำงานเป็นโค้ชให้กับสโมสรเล็กๆ อย่าง วิคตอเรีย บัมมาเมนตัล สโมสรสุดท้ายในชีวิตการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขา ก่อนที่จะมารับงานกับฮอฟเฟนไฮม์ 5 ปี แต่ล้มเหลวกับการนำทีมจากหมู่บ้านเล็กๆ ให้เลื่อนชั้นกลับไปสู่ระดับดิวิชัน 2 ของบุนเดสลีกาได้ จึงอำลาตำแหน่งไปเมื่อปี 2005

 

ชีวิตต่อจากนั้นของฟลิกคือการทำงานอยู่เบื้องหลัง โดยเขาได้โอกาสให้ร่วมงานกับกุนซือระดับตำนานอย่าง โจวานนี ตราปัตโตนี และวีรบุรุษลูกหนังของชาวเยอรมันอย่าง โลธาร์ มัทเธอุส ในทีมเรดบูล ซัลซ์บวร์ก เป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะผละจากตำแหน่งเพื่อตอบรับคำเชิญจาก เจอร์เกน คลินส์มันน์ บุนเดสเทรนเนอร์ (โค้ชทีมชาติเยอรมนี) ให้เป็นผู้ช่วยของทีมอินทรีเหล็ก

 

ฟลิกใช้เวลา 8 ปีในตำแหน่งนี้ จากการทำงานภายใต้คลินส์มันน์ สู่ โยอาคิม เลิฟ ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยมาก่อนเช่นกัน และเขาเป็นหนึ่งในทีมงานที่ช่วยให้เยอรมนีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในปี 2014 ที่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นชาติจากยุโรปชาติแรกที่บุกไปพิชิตแชมป์โลกได้บนแผ่นดินลาตินอเมริกา

 

หลังจบงานนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเดเอฟเบ และทำงานในตำแหน่งนี้จนถึงปี 2017

 

ก่อนที่จะตอบรับข้อเสนอจากบาเยิร์นที่อยากให้เขา ‘กลับบ้าน’ เพื่อมาเป็นผู้ช่วยของโควัช

 

โดยภารกิจลับๆ ที่ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม คือการต้องพร้อมเข้ามาประคับประคองสโมสรให้อยู่รอดให้ได้ อย่างน้อยจนกว่าจะหาโค้ชที่มีความเหมาะสมคนใหม่ได้ ซึ่งเมื่อ 10 เดือนที่แล้วนั้นไม่มีตัวเลือกใดที่ดูเหมาะสมกับสโมสรอย่างบาเยิร์น

 

ดังนั้น เมื่อฝ่ายบริหารตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต้องปลดโควัชก่อนที่ทุกอย่างจะล่มสลาย ฟลิกจึงได้รับข้อเสนอให้เข้ามาช่วยประคองสโมสรในฐานะคนที่รู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าบาเยิร์น มิวนิก นั้นเป็นสโมสรอย่างไร

 

และนี่คือการปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเป็นครั้งแรกของเขา หลังจากที่หลบอยู่ในเบื้องหลังนาน 15 ปี โดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำทีมในระดับลีกสูงสุดมาก่อนเลยแม้แต่เกมเดียว

 

ในเบื้องต้นมีการประเมินกันว่าฟลิกจะได้คุมทีมเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่หากบาเยิร์นยังหาคำตอบไม่พบว่าใครควรจะได้เป็นโค้ชคนใหม่ เขาก็อาจจะต้องทำงานไปจนถึงช่วงคริสต์มาส หรือยาวที่สุดไปจนถึงช่วงสิ้นสุดฤดูกาล

 

โดยที่ ณ เข็มนาฬิกานั้นไม่มีใครรู้ว่าคำตอบที่บาเยิร์นตามหานั้นอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั่นเอง

 

เมื่อได้รับตำแหน่ง ฟลิก เรียกตัว โธมัส มุลเลอร์ กลับเข้าสู่ทีมทันที

 

นักสื่อสารชั้นหนึ่ง

ฟลิก และฝ่ายบริหารรวมถึงแฟนบอลบาเยิร์นเองได้หายใจกันโล่งขึ้น หลังจากที่การคุมทีมนัดแรกของเขาจบลงด้วยชัยชนะ 2-0 เหนือโอลิมเปียกอส ในรายการแชมเปียนส์ลีก

 

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก” ฟลิกยอมรับหลังจากที่คุมทีมลงสนามเป็นเกมแรก ก่อนจะยอมรับว่าเขาตอบรับข้อเสนอนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความภักดีต่อสโมสร “มันชัดเจนว่าผมควรจะรับงานในการแสดงถึงความภักดีต่อสโมสร มันเป็นเกียรติอย่างสูง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ด้วย”

 

ด้วยความที่เป็นคนในเงา เขาจึงได้รับการปกป้องจากทุกคน โดยเฉพาะนักเตะที่ร่วมงานด้วย

 

โจชัว คิมมิช ให้นิยามฟลิกสั้นๆ ว่า “เขาเป็นคนดี”​

 

คนดีในความหมายนั้นตีความได้หลากหลาย แต่สำหรับฟลิก สิ่งที่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญมากของเขา และสามารถจะเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับที่ไม่ได้ปิดเป็นความลับ คือการที่เขาเป็นคนที่มีความสามารถเกี่ยวกับเรื่องของ ‘ความรู้สึก’ ของคนเป็นพิเศษ

 

เขาสัมผัสได้ รับรู้ เข้าใจ และรู้ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อให้คนฟังรู้สึกดี

 

หนึ่งในคนที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือ แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ อดีตปราการหลังทีมชาติเยอรมนี ซึ่งเป็นเสาหลักของทีมมานาน

 

เรื่องเกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 2014 ก่อนเกมที่เยอรมนีจะต้องพบกับฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเกมที่สำคัญที่สุดของชีวิตสำหรับแมร์เตซัคเกอร์ หนึ่งในผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูงที่สุดของทีม ซึ่งได้รับข่าวร้ายจาก ‘โยกี’​ เลิฟ ที่แจ้งข่าวว่าเขาจะมีการปรับเปลี่ยนทีมในบางจุด

 

หนึ่งในนั้นคือการที่แมร์เตซัคเกอร์จะไม่ได้ลงสนาม แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะลงเล่นทุกนาทีในสนามก็ตาม โดย เจอโรม บัวเต็ง จะถูกขยับมายืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ และ ฟิลิปป์ ลาห์ม จะกลับมาประจำการที่ตำแหน่งแบ็กขวาอีกครั้ง

 

ในความรู้สึกของแมร์เตซัคเกอร์ แม้จะพรรษามากพอที่จะเข้าใจได้ แต่ในความรู้สึกแล้วแตกสลายเหมือนกับโลกทั้งใบถล่มลงมาตรงหน้า

 

“ผมช็อกมาก ผมคิดมาตลอดว่าพวกเขาเชื่อในตัวผม ตอนนั้นผมได้แต่ถามไปเรื่อยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้” อดีตกองหลังร่างยักษ์เล่าความหลัง 

 

ถึงจุดนั้นเลิฟหยุดอธิบาย และเป็นฟลิกที่รับหน้าที่ในการอธิบายต่อ 

 

ด้วยความสามารถที่สัมผัสได้ถึงใจของคนฟัง สุดท้ายเขาทำให้แมร์เตซัคเกอร์ยอมรับและเข้าใจถึงเหตุผลของการตัดสินใจ 

 

 

แก้ทุกปัญหาด้วยคำว่า Empathy

“เขาเป็นคนที่ถ่อมตัวอย่างมาก และเขาก็เป็นคนที่มีสัมผัสของความเป็นมนุษย์สูงมาก เขาเป็นคนที่ใส่ใจคน แต่เขาก็ไม่เคยกลัวที่จะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของตัวเอง และนั่นทำให้เขาเชื่อมถึงกับทุกคน 

 

แมร์เตซัคเกอร์ยกย่องฟลิกว่าเป็นคนที่ ‘สื่อสาร’ ได้ดีมากและมีความชัดเจน ใครที่อยากรู้อะไรก็จะได้รับทราบ ในทีมชาติเยอรมนีเขาคือ ‘สะพาน’ ที่เชื่อมทุกคนเข้าหากัน ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล สตาฟฟ์โค้ช และสตาฟฟ์ฝ่ายอื่นๆ ที่เหลือ และด้วยสิ่งนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้บรรยากาศในแคมป์ทีมชาติเยอรมนีเต็มไปด้วยความอบอุ่น กลมเกลียว และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

 

แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่แมร์เตซัคเกอร์จำได้แม่นยำ คือการที่ฟลิกเป็นคนบอกให้เลิฟ กล่าวชมเหล่านักเตะตัวสำรองด้วย เพราะคนที่ทุ่มเทนั้นไม่ได้มีแค่นักฟุตบอลที่ลงสนามอย่างเดียว 

 

คุณสมบัตินี้ของฟลิก คล้ายคลึงกับสิ่งที่ จุ๊ปป์ ไฮย์นเกส์ ขรัวเฒ่าผู้ที่พร้อมเข้ามากอบกู้บาเยิร์นจากวิกฤตเสมอ โดยครั้งสุดท้ายที่เขารับหน้าที่คือการทำให้ทีมคว้าแชมป์ 3 รายการในฤดูกาลเดียวทั้ง บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และยูฟ่าแชมเปียนส์​ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2013

 

อาร์เน ฟรีดิช อีกหนึ่งนักเตะของบาเยิร์นในอดีตเปรียบเทียบกุนซือสองคนให้เห็นภาพว่า “ในทีมของไฮย์นเกส์เราจะแทบไม่ได้ยินนักเตะตัวสำรองบ่นอะไรเลย ซึ่งสำหรับผมแล้วฮันซี มีความคล้ายคลึงกับเขาอย่างมาก

 

ขณะที่ โอลิเวอร์ คาห์น ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่มีส่วนในการตัดสินใจเลือกฟลิก กล่าวถึงฟลิกว่า “เขารู้เสมอว่าเขาจะต้องพูดอะไรกับผู้เล่น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขารู้ดีว่าเขาจะรับมือกับผู้เล่นได้อย่างไร”

 

ดังนั้น เมื่อรับงานในการคุมบาเยิร์น มิวนิก สิ่งแรกที่ฟลิกทำไม่ใช่การตัดสินใจ แต่เป็นการรับฟังทุกคนอย่างตั้งใจ

 

พวกเขามองเห็นทีมเป็นอย่างไร คิดว่าทีมควรจะเล่นในแบบไหน และพวกเขามองตัวเองเป็นอย่างไรภายในทีม 

 

“ทุกคนมีคุณค่า” คือสิ่งที่เขาพยายามบอกกับลูกทีม ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นซูเปอร์สตาร์ประจำทีม เป็นดาวรุ่ง หรือเป็นกำลังเสริมของทีม 

 

หรือต่อให้ลงสนามไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ซึ่งครั้งหนึ่งฟลิกได้แสดงให้เห็นถึงมุมนี้ด้วยการไปปลอบโยน ฆาบี มาร์ติเนซ มิดฟิลด์ชาวสเปนที่อยู่ในระหว่างช่วงที่ยากลำบาก และไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ได้จนร้องไห้ออกมาระหว่างที่นั่งอยู่บนม้านั่งสำรองข้างสนาม

 

ภาพของฟลิกที่ไปนั่งอยู่ข้างๆ โอบไหล่ และปลอบใจอย่างใกล้ชิดสร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนอย่างมาก และที่สำคัญคือมันไม่ใช่การสร้างภาพ มันเป็นตัวตนของเขาจริงๆ

 

ขณะที่สองผู้เล่นประสบการณ์สูงอย่างบัวเต็งและมุลเลอร์ ซึ่งถูกมองข้ามจาก นิโก โควัช ได้รับโอกาสจากฟลิกทันที และสิ่งที่เหลือเชื่อทั้งสองกลับมาทำผลงานได้อย่างวิเศษ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เล่นได้ดีที่สุดในชีวิต

 

บัวเต็งกลับมาเป็นเสาหลักในแนวรับ ขณะที่มุลเลอร์ เหมือนได้รับการปลดปล่อยให้กลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะสถิติสุดยอดในการทำไปถึง 21 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้ หลังกลับมาเป็นตัวสำคัญภายในทีมอีกครั้ง

 

แน่นอนว่าแค่ความสามารถในการสื่อสารอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนบาเยิร์นจากทีมที่กำลังแตกร้าวให้กลับมากลายเป็นทีมที่ดีที่สุดของยุโรป – และอาจหมายถึงของโลก – ในเวลานี้ 

 

ฟลิก มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของแท็กติกฟุตบอลอย่างถ่องแท้ เขารู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ทีมเล่นได้อย่างดีที่สุด ซึ่งในชั่วระยะเวลาเพียงแค่ 4 นัดแรกในการคุมทีมบาเยิร์น ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งด้วยผลงานชนะรวด 4 นัด ยิงได้ 16 ประตู และไม่เสียประตูเลย

 

มากกว่านั้นคือการที่เขายังยกระดับทีมให้ไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างมหัศจรรย์ บาเยิร์นในวันนี้คือทีมที่มีระบบการเล่นดีที่สุดในโลก ทรงประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งจุดสูงสุดคือการไล่ถล่มบาร์เซโลนา ที่มี ลิโอเนล เมสซี ย่อยยับถึง 8-2

 

มันเป็นเกมที่เหมือนภาพสะท้อนของโศกนาฏกรรมลูกหนัง ‘มิไนราโซ’ วันที่ทีมชาติเยอรมนี ฉีกหัวใจคนบราซิลทั้งชาติเมื่อ 6 ปีที่แล้วด้วยชัยชนะ 7-1 ในเกมรอบรองชนะเลิศ ซึ่งครั้งนั้นฟลิกคือมือขวาของ โยอาคิม เลิฟ

 

และถึงจะเป็นคนอ่อนโยนแต่ไม่ได้แปลว่าไม่เข้มแข็ง ในทางตรงกันข้ามเขาเข้มแข็งพอที่จะตัดสินใจเรื่องยากๆ และพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในการทำงานของเขาคือคำว่า Empathy

 

เพราะคำนี้ ฟลิกจึงเปลี่ยนบาเยิร์นจากทีมที่ใกล้แตกสลายให้กลายเป็นสุดยอดทีมได้อีกครั้ง

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

FYI
  • ใน 10 เดือนที่ผ่านมา ฟลิกคุมทีมบาเยิร์นลงสนามทั้งหมด 35 นัด และเป็นการชนะถึง 32 นัด
  • ชัยชนะเหนือปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก เป็นการชนะรวด 20 นัดติดต่อกัน
  • จากเดิมที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นกุนซือคั่นเวลารอ เมาริซิโอ โปเชตติโน หรือ จูเลียน นาเกิลส์มันน์ ผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้ฟลิกได้รับสัญญายาวจนถึงปี 2023 
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X