ปัญหาไก่กับไข่ของวงการภาพยนตร์ประจำปี 2020: การที่ธุรกิจภาพยนตร์ยังไม่ฟื้นจากโควิด-19 เกิดจากการที่ค่ายหนังไม่กล้าฉายหนังใหม่ในโรงเพราะกลัวคนไม่ออกมาดู หรือเกิดจากคนไม่ออกมาดูเพราะไม่มีหนังใหม่มาฉาย
ผลลัพธ์ที่ออกมาในเวลานี้คือเจ็บปวดกันทุกฝ่าย คือ ค่ายหนัง คนดู และโรงหนัง
ไม่แน่ใจว่าคริสโตเฟอร์ โนแลน จะภาคภูมิใจหรือเครียดเมื่อได้พบว่า Tenet หนังเรื่องใหม่ล่าสุดของเขากลายเป็นหนังแห่งความหวังของมวลมนุษยชาติในการกอบกู้วงการภาพยนตร์ให้กลับมา ว่าง่ายๆ คือ ตอนนี้คริสโตเฟอร์ โนแลน กลายเป็นแบทแมนเสียเอง โดยที่พวกเราไม่อาจรู้เลยว่าเขาเต็มใจหรือไม่เต็มใจ
ความคาดหวังมาตั้งช่วงประกาศฉายครั้งแรกๆ ซึ่งเป็นช่วงที่มรสุมโควิด-19 เริ่มเข้ามาเรียบร้อย ในเวลานั้นผู้คนยังรู้สึกว่า คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้ยิ่งใหญ่อาจจะเป็นผู้กำกับคนเดียวที่ไม่กลัวโควิด-19 แล้วกล้าชนกล้าฉายไปเลย ถึงจะมีการเลื่อนหลายรอบแต่เขาน่าจะตั้งหลักกันอยู่ เดี๋ยวคงมาแน่ๆ และ Tenet จะกลายเป็นตัววัดเลยว่า ผู้คนจะกล้ากลับมาโรงหนังหรือไม่ ถ้ากลับมา จะกลับมากันมากแค่ไหน เพราะ Tenet มีคุณสมบัติถึงพร้อมหลายอย่างในการรับตำแหน่งนี้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นพล็อตเรื่องที่ท้าทายคนดู ชื่อเสียงของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ชาวโลกพร้อมใจยอมรับ รวมถึงคำพูดที่โนแลนเพียรบอกทุกคนเสมอมาว่าหนังของเขาต้องดูในโรงเท่านั้น เพราะวิธีการถ่ายทำของเขาดีไซน์มาเพื่อโรงหนังโดยเฉพาะ ดูแบบสตรีมมิงที่บ้านจอเล็กๆ ไม่ใช่ออปชันสำหรับหนังของเขาเลย
จนกระทั่งข่าวล่าสุดคือ Tenet เลื่อนอย่างไร้กำหนด กลายเป็นประเด็นสำคัญโดยที่ไม่รู้ว่าโนแลนและสตูดิโอวอร์เนอร์ฯ อยากให้มันเป็นแบบนี้หรือไม่ ผู้คนจากกลุ่มต่างๆ เริ่มออกมาเรียกร้องมากขึ้นหลังจากที่รู้ข่าวนี้ บรรดาตัวแทนผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์พยายามจะบอกให้พวกเขาอย่าเลื่อนฉายไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพราะว่าจะพังกันหมด พวกเขาคิดว่าถ้าไม่มีหนังใหญ่ๆ เรื่องใหม่ๆ ยอมมาเข้าโรงภาพยนตร์แบบนี้ วงจรการเดินทางกลับมาดูหนังในโรงก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น อันที่จริงสถานการณ์ปัจจุบันก็พิสูจน์ในระดับหนึ่งแล้วว่าการวนฉายภาพยนตร์เก่าๆ หรือหนังคลาสสิกต่างๆ อาจจะช่วยให้แฟนหนังจำนวนหนึ่งเกิดอยากดูหนังในโรงบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่คลื่นขนาดใหญ่ที่จะเรียกคนทั่วๆ ไปกลับมาเข้าโรงได้ มันอาจจะต้องเป็นหนังใหม่ฟอร์มยักษ์จริงๆ ซึ่งมันก็ต้อง Tenet นี่แหละ ที่เหมาะสมที่สุด
ทางด้านสตูดิโอบอกว่า เรื่องนี้พวกผมก็รู้ ทำไมจะไม่รู้ แต่คำถามมันอยู่ที่ว่า สตูดิโอไหนหรือเจ้าของหนังเรื่องใดจะยอมเสี่ยงตายออกฉายเป็นคนแรก ว่าง่ายๆ แบบภาษาชาวบ้านว่า ใครจะยอมเสียสละเจ๊งเป็นคนแรกนั่นเอง ทางสตูดิโอวอร์เนอร์ฯ ได้เผยข้อมูลว่า หนังเรื่อง Tenet จะกำไรก็ต่อเมื่อหนังทำเงินได้ 800 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลก เพราะตัวหนังเรื่องนี้ทั้งทุนงานสร้าง ต้นทุนโปรโมต รวมกันอยู่ที่ 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการจะทำเงินให้ได้ 800 ล้านเนี่ย มันจำเป็นต้องพิชิตโลกจริงๆ ต้องฉายทั่วโลกถึงจะสามารถทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้
แต่ปัญหาอยู่ที่รายได้หลักๆ ของหนังฮอลลีวูดอยู่ที่อเมริกาและจีน ซึ่งตอนนี้อเมริกาและจีนต่างมีปัญหาการเปิดโรงฉายทั้งคู่ ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนรักษาหรือไม่มีวิธีการที่จะทำให้โรงหนังเปิดและขายได้ทุกที่นั่งแบบปกติ มันก็จะหมายถึงรายได้ที่ไม่ปกติแน่ๆ เจ้าของหนังจึงรู้สึกว่า ถ้าฉายอย่างไรก็ไม่รอด ไอ้แผนการที่จะค่อยๆ ฉายตามแต่ละพื้นที่แบบไม่พร้อมกันทั่วโลก ก็กลัวสปอยล์หลุดทำลายหนังอีก งั้นไม่ฉายดีกว่า แต่คำถามต่อไปคือ ถ้าไม่ฉาย แล้วจะรอดกันไหม เพราะตัวสตูดิโอเองก็จะไม่มีรายได้เข้ามาอยู่ดี แถมบางสตูดิโอเวลาสร้างหนังเรื่องหนึ่ง อาจมีการไปกู้เงินมาสร้าง ซึ่งถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่ยอมฉาย ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมนั้นก็จอาจจะทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ ฟังแล้วไม่รู้เลยว่าทางออกทางไหนดีกว่ากัน
หลายคนเสนอว่า จริงๆ แล้วทางออกที่อาจจะดูเป็นไปได้ที่สุดคือการยอมปล่อยลงระบบ VOD หรือ Video on Demand ว่าง่ายๆ คือ ปล่อยให้ซื้อดูแบบออนไลน์ไปเลย หรืออาจจะปล่อยพร้อมฉายโรงก็ได้ เหมือนที่ก่อนหน้านี้มีหนังหลายเรื่องใช้ระบบ Premium VOD คือไม่เข้าโรง แต่ขายออนไลน์ในราคาที่แพงกว่าปกติ ก็สามารถทำรายได้ในระดับ 100 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้มีคนเสนอว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงบางยี่ห้อนั้นมียอดรับประกันจำนวน Subscriber อยู่ในระดับ 10-20 ล้านคน ถ้าเกิดเราเอา Tenet มาฉายแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับแพลตฟอร์มนั้นๆ แล้วลองตั้งราคา คิดโปรโมชัน หรือหาทางเจรจาเรื่องส่วนแบ่งกับแพลตฟอร์มนั้นๆ ก็อาจจะทำให้สตูดิโอได้เงินมากพอจนสามารถไปถึงเป้ารายได้ที่วางไว้โดยไม่ต้องออกฉายตามโรงทั่วโลกด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นแผนการนี้ก็ไม่มีใครรับประกันความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตามอุปสรรคที่ยากที่สุดสำหรับวิธีการนี้คือ มีใครถามคริสโตเฟอร์ โนแลนหรือยังว่าเขาโอเคไหมที่หนังของเขาเรื่องนี้จะไม่ฉายโรง แล้วออกฉายในจอเล็กๆ อย่างจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือที่เขาต่อต้าน
คำพูดที่โนแลนเพียรพูดเสมอตลอดการทำงานของเขาว่าด้วย ภาพยนตร์คือประสบการณ์ความมืดในโรงภาพยนตร์เท่านั้น จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่เราเห็นด้วย เข้าใจได้ในฐานะที่เขาเป็นศิลปินผู้ทำงานศิลปะ แต่ตอนนี้เขาอาจจะต้องทบทวนคำพูดนี้อีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลาที่เขาจะต้องเลือกระหว่างอุดมการณ์กับความอยู่รอดเชิงธุรกิจโดยแท้จริง แน่นอนว่าหากโนแลนยังคงยืนยันว่าหนังเรื่องนี้จะต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้นจริงๆ ก็เป็นไปได้ที่ว่าต่อให้มีการจัดจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ ยอดของการขายแบบ Video on Demand อาจจะไม่พุ่งอย่างที่คาดคิดไว้ แฟนเดนตายทั้งหลายจะต้องอดทนรอมันจนกว่าวันหนึ่งจะได้ดูในโรงก็เป็นได้
หรือจริงๆ แล้วโนแลนน่าจะลองเปิดใจว่าการฉายแบบจอเล็กๆ นั้นอาจจะไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนังที่เขาทำมาสูญเสียไป มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น หลายคนดู The Dark Knight หรือ Inception ที่บ้านก็ยังคงชื่นชอบและสนุกไปกับหนังได้เช่นกัน และมันอาจจะทำให้หนังเรื่องใหม่ของเขารอดชีวิต สตูดิโอก็ไม่เจ็บตัว โนแลนเองอาจจะต้องเสียสละอุดมการณ์ส่วนตัวเพื่อผ่านพ้นวิกฤตไปก่อนหรือเปล่า
ในสถานการณ์นี้เป็นเรื่องที่เห็นใจทุกฝ่าย เข้าใจทุกคนทุกฝ่าย ไม่มีถูกไม่มีผิด หลังจากนี้คืออยู่ที่การตัดสินใจและต้องยอมรับผลของมัน มันอาจจะสำเร็จและเรียกคนดูทั้งโลกกลับมาโรงหนังก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันอาจจะมีแค่แฟนเดนตายของโนแลนที่ยอมออกมาดูก็เป็นไปได้
ไม่ว่ารอบนี้โนแลนจะรับบทศิลปิน ผู้เสียสละหรือนักธุรกิจ เราก็จะชื่นชมเขาอยู่ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเป็นอีกครั้งที่ผู้คนจะจดจำหนังของเขาได้ไปอีกยาวนาน
ภาพจาก
https://www.imdb.com/name/nm0634240/mediaindex?ref_=nm_phs_md_sm
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์