วันนี้ (20 เมษายน) ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่าการรวมกิจการกับธนาคารธนชาตทำให้ขนาดสินทรัพย์ เงินฝาก และสินเชื่อเติบโตขึ้นกว่า 2 เท่า ดังนั้นเป้าหมายในปี 2563 นี้จึงเน้นเรื่องของการเพิ่มความสามารถให้การทำกำไรจากการรับรู้ผลประโยชน์ หรือ Synergy ที่เกิดขึ้นจากการรวมกิจการ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเร่งเรื่องการเติบโตมากนักในปีนี้ แต่จะทำการควบรวมเสร็จสิ้นตามแผนปี 2564
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการ ทั้งด้านงบดุล (Balance Sheet Synergy) และด้านต้นทุน (Cost Synergy) ขณะที่ขั้นตอนการรวมกิจการก็คืบหน้าได้ตามแผน โดยธนาคารได้ทำข้อตกลงร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านประกันชีวิตกับบริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ทยอยโอนย้ายลูกค้าและเปิดสาขาร่วมระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาตแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายละเอียดสำคัญดังนี้
- กำไรสุทธิอยู่ที่ 4,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 14,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจำนวน 4,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยหรือ (NIM) อยู่ 3.12% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่อยู่ระดับ 2.89%
- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 8,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- ยอดหนี้เสียตามการจัดชั้นสินเชื่อตามมาตรฐานบัญชีแบบใหม่ (TFRS 9) อยู่ที่ 44,183 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมที่ 2.76% (ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.80%)
- ธนาคารตั้งสำรองฯ ในไตรมาสนี้กว่า 4,760 ล้านบาท
ทั้งนี้การควบรวมกิจการระหว่างสองธนาคารมีแผนการปรับโครงสร้างงบดุล โดยส่วนเงินฝากจะปรับลดสัดส่วนเงินฝากประจำและแทนที่ด้วยเงินฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เงินฝาก All Free และเงินฝาก No Fixed ซึ่งในไตรมาส 1 ก็ทำได้ตามเป้าหมาย และทำให้ยอดเงินฝากรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่สินเชื่ออยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาสก่อน โดยจะเน้นเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ทำให้ในปัจจุบันกว่า 90% ของพอร์ตสินเชื่อรายย่อยเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น