ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ อาจถึงจุดสูงสุดภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่รัฐบาลขยายเวลานโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อในชุมชนออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน
เวลานี้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 มากที่สุดในโลก โดยยอดผู้ติดเชื้อสะสมล่าสุดอยู่ที่ 141,854 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2,475 ราย ขณะที่ทรัมป์กำลังพิจารณาเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ในรัฐนิวยอร์ก นิวเจอร์ซีย์ และบางส่วนของคอนเนตทิคัต เพื่อชะลอการระบาด
ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาวว่า “เทศกาลอีสเตอร์น่าจะเป็นช่วงที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตแตะระดับสูงสุด” ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน
“จากการประมาณการคาดว่าอัตราการเสียชีวิตสูงสุดจะอยู่ในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ จากนั้นจะเริ่มลดลง ซึ่งหวังว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากจุดดังกล่าว”
ขณะที่ แอนโธนี เฟาซี หนึ่งในที่ปรึกษาทางการแพทย์ประจำทำเนียบขาว ประเมินว่าไวรัสมรณะนี้อาจคร่าชีวิตประชาชน 1-2 แสนคนในสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ระบุว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัว แต่จะเลวร้ายกว่านี้หากไม่มีคำสั่งล็อกดาวน์หรือมาตรการอื่นๆ เพื่อป้องกันการระบาด
“เป็นไปได้ที่ผู้เสียชีวิตอาจมีมากถึง 2.2 ล้านคน หากเราไม่ทำอะไร หากเราไม่เว้นระยะห่างทางสังคม หรือไม่ทำในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่” ทรัมป์กล่าว พร้อมกันนี้ยังได้ออกคำสั่งขยายนโยบายรักษาระยะห่างทางสังคมของประชาชนไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส
เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ได้ที่ thestandard.co/coronavirus-coverage
และอัปเดตทุกความเคลื่อนไหวของโรคโควิด-19 ได้ที่ www.facebook.com/thestandardth
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: