วันนี้ (11 มีนาคม 2563) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 แถลงข่าวภายหลังประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 พร้อมด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า พื้นที่ควบคุมถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยมีคนจากต่างประเทศกลุ่มเสี่ยงได้เตรียมการไว้ที่สนามบิน และพื้นที่ควบคุมจัดไว้โดยเฉพาะ แต่ต้องยอมรับว่าผู้โดยสารทุกคนจะต้องถูกกักตัวไว้ 14 วัน
ขณะที่มาตรการคัดกรองมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในส่วนของกองตรวจคนเข้าเมือง สาธารณสุขที่ประจำอยู่สนามบิน และในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งท่าเรือ ท่าอากาศยาน รวมทั้งในช่องทางต่างๆ มีกระทรวงกลาโหมร่วมด้วย โดยคัดกรองอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนทั้งหมด
ทั้งนี้ คนที่ผ่านเข้ามาในระบบ ถ้าเข้าตามกติกาดังกล่าวแล้ว หลังจากนี้การเข้าประเทศไทยจะมีความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่อง VISA on Arrival (VOA) วีซ่า BOI และวีซ่า ผ.30 สำหรับนักท่องเที่ยว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า การเพิ่มความเข้มข้นหลังจากนี้ คือมาตรการของรัฐจะเริ่มจากที่สนามบิน โดยการขนส่งไปถึงจังหวัดที่เป็นภูมิลำเนา โดยกระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้จัดรถหรือยานพาหนะที่เป็นระบบปิด และจะไม่ให้คนลงระหว่างทางโดยเด็ดขาด แต่จะส่งไปถึงจังหวัดต่างๆ โดยตรง ซึ่งในส่วนของจังหวัดจะมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าพนักงานไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงไปตรวจสอบตามครัวเรือนต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งทุกคนมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเป็นเหมือนผู้ช่วยเจ้าพนักงานติดตามว่าอยู่ที่ไหน หนีไปไหน หรืออะไรต่างๆ ก็จะมีการรายงานเข้ามา โดยเร่งรัดการนำข้อมูลเข้าแอปพลิเคชันเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการควบคุมคนที่เดินทางมา
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศที่ต้องดูแลเป็นพิเศษคือ 4 ประเทศ จีน อิตาลี เกาหลีใต้ และอิหร่าน ซึ่งคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศนี้ ต้องผ่านมาตรการคัดกรอง และเฝ้าระวังในพื้นที่ที่กำหนดในภูมิลำเนา โดยมีเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลถึงครัวเรือนและบ้านพัก ดังนั้น ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ ซึ่งจะมีความผิดหากหลบหนีออกนอกบ้านหรือทำผิดกติกา มีการลงโทษทั้งจำและปรับ ขณะนี้พยายามให้กฎหมายที่มีอยู่แล้วเดิม ให้สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งเรื่องความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อพูดคุยระหว่างเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยในการส่งข้อมูลถึงมิตรประเทศ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องบอกให้ทราบขั้นตอนของเรา เพื่อให้มีการเตรียมความพร้อม ขณะเดียวกันทุกสถานทูตและสถานกงสุล ต้องเตรียมการรองรับมาตรการเหล่านี้ด้วยเพราะเป็นต้นทาง
“สรุปว่าทุกคนต้องไปขอวีซ่าในระบบเดิมทั้งหมด การยกเลิก VOA และ ผ.30 หรืออะไรต่างๆ มีกติกาอยู่แล้ว จะเห็นว่าเราให้ความสำคัญและขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ไว้ใจในกระบวนการเหล่านี้ และช่วยกันดูแล ถ้าไม่ร่วมมือก็มีปัญหา ทุกอย่างต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกติกาที่กำหนดไว้ทั้งหมด ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็อาจจะควบคุมไม่ได้ในระยะต่อไป เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเตรียมการ ไม่ต้องการให้แพร่ไปสู่ระยะที่ 3 ตอนนี้ยังอยู่ในระยะที่ 2 สถานการณ์รอบบ้านและที่อื่นๆ ในโลก เริ่มมีการแพร่ระบาดมากขึ้น เราต้องสกัดกั้นตั้งแต่วันนี้ หลายคนต้องการอย่างโน้นอย่างนี้ เราต้องหามาตรการที่เหมาะสม และต้องพูดคุยทำความเข้าใจ เพียงเจ้าหน้าที่ไปรองรับทั้งหมด และเราจะทำให้ดีที่สุด และเข้มแข็งให้มากที่สุด ผมก็ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ทำงานหนักอยู่ทุกวันนี้ ทำอย่างไรจะมีการตรวจสอบคัดกรองได้เต็มประสิทธิภาพเท่าที่มีเวลา ผมเป็นห่วงบุคลากรทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และสาธารณสุขต่างๆ ล้วนมีภาระหนักทั้งสิ้น จึงเกรงว่าถ้ายังให้มีการดำเนินการเช่นเดิมในการเข้าออกประเทศต่อไป บางทีก็เกิดปัญหา ผมมีความห่วงใยที่มีให้กับประชาชน และเจ้าหน้าที่รวมทั้งส่วนราชการทั้งหมดที่ทำงาน” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
ด้าน นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันว่า การใช้มาตรการกักตัวในบ้านของตนเองนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำคนในครอบครัว ทั้งการใส่หน้ากาก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ โดยการควบคุมที่บ้านจะให้ญาติพี่น้องช่วยกันดูแลในระดับหนึ่ง ระดับสองจะมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจจากการแต่งตั้ง ทั้ง อสม. บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลประจำตำบล เข้ามาตรวจดูสุขภาพ ตลอด 14 วัน และจะร่วมมือกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ ทหาร ในการติดตามดูแลร่วมมือกันในบ้าน รวมถึงติดตามจากแอปพลิเคชันที่ลงไว้ โดยมีเป้าหมายคือการดูแลสุขภาพของประชาชน และถ้าไม่ทำเช่นนี้ คนในครอบครัวจะได้รับผลกระทบ ระหว่างนี้ก็จะมีการให้ความรู้ ผู้ที่ดูแลคนที่ต้องกักตัว ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้มีการถูกอบรมการดูแลผู้ป่วยแล้ว และมีอุปกรณ์ หน้ากากอนามัย ถุงมือ สนับสนุนเป็นพิเศษ แยกจากโรงพยาบาล โดยรัฐบาลจัดการมอบให้เป็นพิเศษ
ขณะที่ ชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยว่า มาตรการที่ออกมาในขณะนี้ เป็นการคัดกรองตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งแบ่งการคัดกรองเป็น 3 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรก จะเริ่มตั้งแต่ที่สถานทูต ซึ่งผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศ ต้องมีใบรับรองแพทย์ (ที่รับรองว่าไม่มีไข้ ในระยะเวลา 14 วันก่อนเดินทาง และต้องออกใบรับรองแพทย์ ภายใน 3 วันก่อนเดินทาง) เอกสารที่เกี่ยวกับการประกันภัย และระยะเวลาการปลอดเชื้อเป็นเวลา 14 วัน เพื่อประกอบการขอเดินทางกลับประเทศ
ส่วนขั้นตอนที่ 2 คือการคัดกรองของระบบสายการบิน ที่ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่าปลอดเชื้อ จึงจะสามารถขึ้นเครื่องได้
และขั้นตอนที่ 3 คือการคัดกรองในประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการ ในการกักกันตัว 14 วัน
ทั้งนี้ได้ย้ำว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับสิ่งที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ซึ่งย้ำว่าเราไม่ได้ปิดประเทศ หรือห้ามไม่ให้คนเข้าประเทศ แต่การเดินทางเข้าประเทศขณะนี้ จะต้องมีเงื่อนไขบางประการ
โดยในส่วนของประเทศที่มี VOA จากนี้ จะต้องไปขอการตรวจลงตราที่สถานทูตหรือสถานกงสุล และในบางประเทศ หรือบางเขตพื้นที่ที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา ก็จะถูกยกเลิกสิทธิ์นั้นเป็นการชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์