หลังวอล์กเอาต์จากห้องประชุมสภาฯ เนื่องจากไม่พอใจเรื่องการจัดสรรเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 4 กลุ่ม ส.ส. อดีตพรรคอนาคตใหม่ ได้ใช้เวทีแถลงหน้าสภาฯ เป็นที่อภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาฯ โดยหนึ่งในนั้นคือ การอภิปรายของ รังสิมันต์ โรม ที่พุ่งเป้าประเด็นไปที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
โดยรังสิมันต์เปิดเผยก่อนเริ่มอภิปรายว่า ก่อนหน้าที่จะอภิปราย ตนต้องเก็บเป็นความลับว่าเป็นคนอภิปราย พล.อ. ประวิตร โดยอ้างว่า เป็นเรื่องอันตราย และไม่มั่นใจในความปลอดภัย ส่วนสาเหตุที่เลือกอภิปราย พล.อ. ประวิตร เป็นเพราะพบว่า มีการสร้างเครือข่ายเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตนเอง ทั้งกลุ่มคนที่ถืออำนาจรัฐและอำนาจทุน โดยเครือข่ายนี้ผูกขาดอำนาจ ใช้ทรัพยากรของรัฐ ภาษีของประชาชนในการสร้างเครือข่าย ถือเป็นความเลวร้าย เน่าเหม็น เป็นเรื่องที่ถูกซ่อนไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน และส่งกลิ่นเหม็นจนถึงปัจจุบัน
โดยรังสิมันต์กล่าวอ้างถึงมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ซึ่งเกิดขึ้นในยุคก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 2549 ปัจจุบันมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานมูลนิธิ นอกจากนี้มูลนิธิแห่งนี้ยังตั้งอยู่ในพื้นที่ค่ายทหาร โดยมีการเปิดเผยว่า เป็นการเช่าพื้นที่ แต่รังสิมันต์ตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงไม่สามารถเช่าพื้นที่มูลนิธิในค่ายทหารได้
นอกจากนี้แม้ภารกิจหลักของมูลนิธิคือ การอนุรักษ์ป่า และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แต่รังสิมันต์กลับอ้างว่า พล.อ. ประวิตร ใช้พื้นที่ของมูลนิธินี้ในการซ่องสุมอำนาจ ดูแลเครือข่ายบูรพาพยัคฆ์ และเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง โดยมีกลุ่มนายทุนเข้ามาเป็นที่ปรึกษามูลนิธิ และมีการบริจาคเงินอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่รังสิมันต์จะเชื่อมโยงมาสู่การเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในการต่อสัญญาศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 50 ปี ซึ่งทำให้รัฐเสียหายนับหมื่นล้านบาท
“แม้ผมและเพื่อนๆ ที่เคยสังกัดพรรคอนาคตใหม่จะรู้อยู่แล้วว่า พรรคของเราจะถูกยุบ แต่ทุกคนก็เชื่อมั่นว่า เราจะเดินหน้าไปต่อ แต่ผมเชื่อว่า ให้หลังการอภิปรายครั้งนี้ พล.อ. ประวิตร น่าจะไม่ได้ไปต่อ ถ้าเราพูดคุยกันด้วยมโนธรรมสำนึก”
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล