ถึงแม้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะสร้างทีมด้วยเงินมากมายมหาศาลแค่ไหน คว้าแชมป์ในประเทศมาครองได้กี่รายการก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับในฐานะสโมสรระดับสุดยอดจริงๆ มาจากการที่ไม่เคยไปถึงตำแหน่งแชมป์สโมสรยุโรปในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ไม่ว่าจะเป็นโรแบร์โต มันชินี, เมาริซิโอ เปเยกรินี หรือปัจจุบันกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่เคยมีใครที่พานาวาสีฟ้าไปถึงจุดนั้นได้สำเร็จ
สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาคือ พวกเขาเป็นทีมใหญ่แต่หัวใจเล็ก เล็กเกินกว่าที่จะสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการไปสู่จุดสูงสุดได้ เหมือนที่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นใน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาว่า ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ทีมมีนักเตะที่ดีที่สุดในทุกตำแหน่ง และถึงแม้จะเคยผิดหวังชอกช้ำมาแล้ว แต่การลงสนามด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่จะพาทีมไปถึงฝัน
แต่จากเกมที่สนามซานติเอโก เบอร์นาบิว เมื่อคืนนี้ แมนฯ ซิตี้ เริ่มแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และชัยชนะที่ได้รับเหนือแชมป์เก่า 13 สมัยอย่างเรอัล มาดริด ก็เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาคู่ควร
ไม่ว่าทีมใดก็ตาม การมาเยือนเบอร์นาบิวไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่าย บรรยากาศสนามของ ‘ราชัน’ เป็นเรื่องที่น่าขนลุก และดูเหมือนนักเตะในชุดขาวเองก็พยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงระดับชั้นที่เหนือกว่าของพวกเขา ด้วยการวางแท็กติกใส่จนทีมของเป๊ป ไม่สามารถเล่นเป็นตัวของตัวเองได้มากนัก
การเพรสซิงสูงในแดนบนของมาดริด ได้ผลค่อนข้างดีเกินคาดหมาย และเราไม่ได้เห็นซิตี้ล้มลุกคลุกคลานแบบนี้บ่อยนัก
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็คือกับดักที่เป๊ป ขุดบ่อล่อปลาเอาไว้ให้มาดริดเผลอใจคิดว่าพวกเขาทำได้ดีกว่า เมื่อตลอดทั้งครึ่งแรกโอกาสของเจ้าบ้านในการยิงเข้ากรอบมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากจังหวะขึ้นโหม่งที่เกือบเป็นประตูของ คาริม เบนเซมา
กับดักของเป๊ปคือการวางหมากแบบพิเศษ โดยในเกมนี้ดรอปทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, เซร์คิโอ อเกวโร, ดาบิด ซิลบา รวมถึงเฟอร์นานดินโญ ไว้บนม้านั่งสำรอง แล้วให้ แบร์นาโด ซิลวา และเควิน เดอ บรอยน์ ช่วยกันเล่นในบท False Nines คู่ เมื่อตัดบอลได้จะสวนกลับเร็ว โดยมี กาเบรียล เฆซุส และ ริยาด มาห์เรซ ที่พร้อมจะฉกฉวยโอกาสเสมอ
เป็นวิธีการเล่นแบบ ‘อดทน’ ที่ไม่เคยได้เห็นจากทีมที่ดูไม่ค่อยมีความอดทนมากนัก
แต่สิ่งที่เหนือกว่าแท็กติกคือเรื่องของใจ เพราะในช่วงครึ่งหลังความผิดพลาดในเกมรับที่โดนเพรสจนเสียบอลในแดนตัวเองจากจังหวะเสียบอลของ โรดรี และ นิโคลัส โอตาเมนดิ สุดท้ายนำไปสู่การเปิดโอกาสให้เรอัล มาดริด ยิงประตูขึ้นนำไปก่อนจาก อิสโก อรากอน มันทำให้หลายคนคิดว่าซิตี้อาจจะไม่มีวาสนาต่อกันกับถ้วยใบนี้
ภาพหลอนเก่าๆ ควรจะกลับมา ความผิดหวังต่อเนื่องหลายฤดูกาล การเสีย อายเมอริค ลาปอร์ต กองหลังคีย์แมนไปอีกครั้งตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก ไปจนถึงบทลงโทษที่รุนแรงของยูฟ่าที่ตัดสิทธิ์พวกเขาในรายการนี้ 2 ปี และนั่นหมายถึงปีนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของใครหลายคนที่จะคว้าโทรฟี Big Ears ให้ได้
อาจเป็นเพราะเหตุผลหลังสุดที่ทำให้ซิตี้ดึงตัวเองกลับมาได้ พวกเขาเล่นตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด และมันก็ได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ถูกส่งลงสนามมา มันทำให้พวกเขาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อซิตี้ตีเสมอได้สำเร็จ จากการเปิดบอลที่มหัศจรรย์ของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่วันนี้แสดงให้เห็นว่าเขาคือหนึ่งในสุดยอดกองกลางของโลกในยุคนี้จริงๆ ซึ่งลูกเปิดของเพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยียมเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วการคอนโทรลบอลต่อด้วยการกลับตัวแล้วเปิดบอลในลักษณะนั้น มุมนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
แต่เดอ บรอยน์ เปิดบอลได้ และเปิดเข้ามาด้วยน้ำหนักและทิศทางที่สมบูรณ์แบบให้เฆซุส ขึ้นโขกเอาชนะ เซร์คิโอ รามอส ผ่านมือ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ได้สำเร็จ
กำลังใจที่กลับมาทำให้ซิตี้มีความกล้าหาญ พวกเขาลุยต่อและได้จุดโทษจากสเตอร์ลิง ที่ถูกรวบล้มในเขตโทษ คราวนี้เดอ บรอยน์ รับหน้าที่อาสาสังหารไม่มีพลาด
นาทีนั้นเรอัล มาดริดไม่เหลืออะไรแล้ว และพวกเขายังเสียรามอส ที่ต้องทำฟาวล์ดักเฆซุสไม่ให้หลุดไปยิงประตูอดีตแชมป์ 13 สมัย จนโดนใบแดงใบที่ 26 ในชีวิตการเล่น
แมนฯ ซิตี้ คว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในสนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็น Famous Night ในเกมสโมสรยุโรปที่พวกเขาไม่เคยมี ไม่เคยพบ ไม่เคยสัมผัส
“การชนะที่เบอร์นาบิวคือเรื่องที่น่าพอใจอย่างมากสำหรับเรา มันเป็นเรื่องที่วิเศษมากที่เราสามารถบุกมาชนะที่นี่ได้ เพราะเราไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ เราหวังว่าชัยชนะในเกมนี้จะช่วยให้เราเชื่อมั่นในตัวเองในอนาคต และสามารถจะไปเยือนสนามไหนก็ได้โดยที่เล่นได้เหมือนในเกมนี้ที่เราเล่นกับเรอัล” คำพูดของเป๊ป สะท้อนทั้งความรู้สึกและความจริงที่ว่าซิตี้มีกำแพงในใจที่ไม่เคยก้าวข้ามได้มาก่อน
อย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงแค่ ‘ก้าวแรก’ ยังเหลือถนนหนทางอีกยาวไกลที่ซิตี้ต้องเดิน
แต่พวกเขาจะรู้ได้เองว่าในทุกก้าวหลังจากนี้ ความรู้สึกมันอาจจะไม่เหมือนเดิม เหมือนแฟนบอลซิตี้เซนส์ 3,000 คนที่ปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่างออกมาในเกมนี้ และเดินออกนอกสนามไปด้วยหัวใจคนละดวงกับตอนเดินเข้ามา
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะเรอัล มาดริดได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
- ก่อนหน้านี้เรอัล มาดริด ในยุคของซีเนดีน ซีดาน ไม่เคยแพ้ในเกมน็อกเอาต์เลย 13 เกมติดต่อกัน
- นี่เป็นครั้งแรกที่ซีดาน ได้เจอกับเป๊ปนอกสนาม หลังเคยพบกันในสนามในฐานะนักเตะเมื่อปลายยุค 90