วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า ตอนนี้มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 18 ราย กลับบ้านแล้ว 17 ราย รวมสะสม 35 ราย
ส่วนประเด็นที่มีการรายงานว่า มีการสั่งห้ามเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์นั้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรคเผยว่า โดยหลักการกระทรวงสาธารณสุขจะเริ่มเฝ้าระวังจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดในวงประเทศมากที่สุด และมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งความเสี่ยงที่เจอคนเดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดมาสู่ประเทศไทยมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ 1. ในประเทศต้นทางนั้นมีผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน และ 2. จำนวนผู้เดินจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสู่ประเทศไทยมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ หากแต่ยังหมายถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้าข่ายด้วย
สำหรับมาตรการเฝ้าระวังที่ใช้ดำเนินการ สธ. ยืนยันว่า จะใช้มาตรฐานเดียวกันกับทุกประเทศ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะมีการบอกให้นักท่องเที่ยวทราบตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน ถ้าผู้โดยสารมีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ ขอให้แจ้งพนักงานต้อนรับ ส่วนต่อมาที่สนามบินเราจะมีการตรวจคัดกรองเพื่อเช็กอีกครั้งว่า ผู้โดยสารมีอาการเป็นไข้ หรืออาการทางเดินหายใจหรือไม่ ถ้าผ่านมาถึงจุดนี้ได้แล้วไม่พบอาการ จะมีการให้ความรู้ความเข้าใจและให้บัตรที่ไว้ใช้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ หากผู้เดินทางมีอาการหลังจากนั้น ก็อยากให้รีบดำเนินการติดต่อแพทย์โดยด่วน
“มาตรการที่ออกมาของเราไม่ได้เป็นมาตรการที่สุดโต่ง แต่เป็นมาตรการที่กลางๆ ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าและเดินทางออกไปยังประเทศที่มีการระบาด เพราะฉะนั้น เราขอย้ำว่า ท่านสามารถเดินทางไปได้ ไม่ได้ถึงกับห้ามโดยเด็ดขาด แต่ให้พิจารณาว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ให้เลื่อนออกไปก่อน แต่ถ้าต้องไปจริงๆ ก็อยากให้ระมัดระวังสุขภาพอย่างเต็มที่”
ส่วนกรณีที่ประเทศอิสราเอลประกาศให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศไทยจะต้องถูกกักตัว 14 วัน เมื่อเดินทางถึงอิสราเอล โดยห้ามเดินทางไปในที่สาธารณะ เช่น ที่ทำงาน ห้างร้าน โรงเรียน และโรงพยาบาล ฯลฯ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เนื่องจากหวั่นแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19
รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า “ทางประเทศอิสราเอลก็คงมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงแล้ว ซึ่งมาตรการจำกัดหรือควบคุมการเดินทางนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่การสั่งห้ามเข้าประเทศ รองลงมาก็คือ มาตรการที่อิสราเอลทำคือ ให้เข้าได้ แต่ต้องมีการดำเนินการคัดกรองโรคเป็นเวลา 14 วัน ก่อนเข้าไปในเมือง ดังนั้น สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปทำธุระที่อิสราเอลควรเดินทางไปล่วงหน้าก่อน 14 วัน ซึ่งเรื่องอย่างนี้เป็นสิ่งที่ผู้เดินทางต้องพิจารณากันเยอะๆ”
ทางด้าน นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า สำหรับผู้ที่กำลังเดินทางไปยังประเทศที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง หากสามารถเลี่ยงได้ ขอให้เลื่อนการเดินทางออกไปก่อน แต่ถ้าเลื่อนไม่ได้ ผู้เดินทางต้องมีการปฏิบัติตัวให้เหมาะสม ดูแลสุขภาพตัวเองให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปอย่างรถไฟใต้ดินให้สวมหน้ากากอนามัยไว้เสมอ และที่สำคัญก่อนทานอาหารควรมีสุขลักษณะที่ดีนั่นคือ การล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหาร
“ทั้งนี้ หากเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้วมีอาการไม่สบาย ให้รีบพบแพทย์ แล้วบอกประวัติการเดินทางอย่างละเอียด เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีที่สุด ” นพ.รุ่งเรือง กล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล