×

เมืองไทยวันนี้ กับสนธิ ลิ้มทองกุล “ผมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่ไม่เห็นความหวังกับการเมืองที่เป็นอยู่แม้แต่นิดเดียว”

04.11.2019
  • LOADING...
สนธิ ลิ้มทองกุล

HIGHLIGHTS

14 MINS. READ
  • สนธิ ยืนยันว่าสิ่งที่เขาต่อสู้ตลอดในห้วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์
  • ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเป็นกระแสเวลานี้ สนธิกลับมองไปไกลกว่านั้น คือควรร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
  • สำหรับสนธิ เขามองว่าคนรุ่นใหม่คือทรัพยากรของประเทศที่จะต้องเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต คนรุ่นเก่ายุคนี้จึงต้องคิดที่จะลงทุนกับคนรุ่นใหม่ และผลของการที่คนรุ่นเก่าไม่สามารถทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อได้ ก็จะนำไปสู่การเฮโลเลือกพรรคอนาคตใหม่

หลังห่างหายจากสมรภูมิการเมือง ในที่สุด ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ ก็ได้อิสรภาพกลับคืนมาแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศใหม่ที่ไม่คุ้นชินแต่อาจคุ้นเคย

 

สนธิมองเมืองไทยวันนี้อย่างไร จากสายตาของชายวัย 72 ปี ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวขับเคี่ยวต่อสู้ทางการเมืองตามสิ่งที่เขาเชื่อ 

 

สนธิมองว่านายใหญ่ของลูกพรรคที่ชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ก็ยังไม่ยอมลดละบทบาททางการเมือง

 

ขณะเดียวกัน สนธิก็ไม่ได้มองว่ารัฐบาลประยุทธ์เข้ามากุมชัยชนะทางการเมืองได้อย่างสวยงาม แต่เข้ามาบนรัฐธรรมนูญที่เอาเปรียบผู้เล่นอื่นๆ

 

นอกจากชื่อของทักษิณ การเมืองไทยวันนี้ยังมีชื่อของ ‘ธนาธร’ และ ‘พรรคอนาคตใหม่’ พร้อมกับคีย์เวิร์ดแห่งยุคสมัย นั่นคือคำว่า ‘คนรุ่นใหม่’

 

เมืองไทยวันนี้ คือเมืองไทยที่สนธิถึงกับออกปากว่า

 

“ถ้าผมเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะคนพวกนี้คือทรัพยากรของประเทศที่จะต้องเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต”

 

สนธิวันนี้จะสื่ออะไรถึงคนรุ่นใหม่ และสนธิเรียกร้องอะไรต่อคนรุ่นเก่าที่จะส่งต่อสังคม ส่งต่อโอกาสให้ยุคสมัยใหม่ THE STANDARD มีนัดหมายเพื่อพูดคุยกับ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ ในวันที่เขากลับมาเปิดบ้านพระอาทิตย์อีกหน

 

ผมเป็นคนที่ “ขอไม่ให้ ซื้อไม่ขาย ต้องฆ่ามันให้ตาย”

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

ถ้าให้ตอบความรู้สึกของคุณสนธิ อะไรคือความรู้สึกมากที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา

 

ผม ปีนี้ 72 ปี ถ้าจะให้เล่าแบบนี้ต้องเล่าที่มาที่ไปกันนิดหนึ่ง เมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา สมัยก่อนการสอบ ม.8 เขาจะมีการเอาผลคะแนนสอบทั่วประเทศ 50 คนมาแปะบอร์ด ผมสอบติด 1 ใน 50 โดยที่สมัยเรียนอยู่เกเร เป็นคนไม่กลัวใคร อย่างรุ่นพี่ถ้ารังแกรุ่นน้อง ผมจะเสนอหน้าเข้าไปต่อย เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ต้น 

 

พอผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ปีแรก ปี 1965 ไปเรียนที่ไต้หวันอยู่หนึ่งปี ไปแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะภาษาจีนเขียนก็ไม่ได้อ่านก็ไม่ออก พูดได้อย่างเดียว เลยบอกพ่ออยู่ต่อไม่ได้แล้วต้องไปเรียนต่อที่อื่น พ่อเลยส่งไปเรียนที่อเมริกา สมัครไปที่ UCLA คณะประวัติศาสตร์ 

 

ตอนที่เรียนอยู่ ความฝันของคนรุ่นหนุ่ม มันไม่ได้ออกไปสัมผัสข้อเท็จจริง ผมเลยอยากทำสื่อมวลชน อยากทำหนังสือพิมพ์สักฉบับหนึ่งให้คนภูมิภาคเอเชียได้อ่าน นี่คือความฝัน แต่พอเรียนจบได้ทำงานที่สหรัฐฯ มาหนึ่งถึงสองปี กลับมาความฝันมันแคบลง ผมอยากทำอะไรให้ประเทศไทยมันดีขึ้น แล้วพอเจอข้อเท็จจริงที่ขมขื่นเจ็บปวดหลายอย่างความฝันก็แคบลงอีก ขอทำสิ่งที่เล็กลงแต่ดีที่สุด คือการเข้ามาวงการสื่อมวลชน แล้วผ่านไปสักพักความฝันก็เล็กลงอีก ขอทำสื่อมวลชนแล้วดูแลพนักงานของเรา พยายามดูแลให้ดีที่สุด และดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด 

 

ผมคิดว่าความฝันของคนในชีวิตหนึ่ง บางครั้งคนเขาบอกผมหัวร้อน ไม่ยอมคน เนื่องจากผมมีฉายาอันหนึ่งคือ ‘สนธิ ไปยาลใหญ่’ หมายถึงว่าอย่าไปคาดเดากับมันเลย มันไม่แน่นอน แต่ความจริงผมเป็นคนที่ถ้าพูดตรงๆ แล้วนักเลงมาก คือถ้าคุณกับผมเกิดไม่กินเส้นกันเพราะเรื่องเรื่องหนึ่ง แล้วคุณมาขอผมว่าพอเถอะคุณสนธิเรื่องนี้ ผมก็จะดูว่าเรื่องนี้มันเอฟเฟกต์คนมากไหม ถ้ามันเอฟเฟกต์ส่วนรวม ผมไม่ให้ แต่ถ้าเฉพาะตัวเขาโดนโจมตี ผมก็จะเรียกพรรคพวกที่ทำงานอยู่ด้วย บอกอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ผมเป็นคนที่ขอแล้วทำได้ จะให้ทันที แต่ถ้ามาข่มขู่ จะไม่ได้ 

 

ด้วยความคิดที่ถ้ามันข่มขู่กันแล้วไม่ยุติธรรม ทำให้ผมเป็นคนที่ “ขอไม่ให้ ซื้อไม่ขาย ต้องฆ่ามันให้ตาย” ก็เลยเป็นเรื่องที่ปะทะทำนองนี้มาตลอดเวลา หลายครั้ง 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

สมัยก่อน นักเลงโตที่ชื่อ แคล้ว (แคล้ว ธนิกุล) เขานักเลงมากแล้วผมทำงานสื่อ ผมก็ไม่กลัว ผมก็เอาเขามาพาดหัวหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายสัปดาห์ พญาไม้ (เผด็จ ภูริปฏิภาณ) ก็เตือนมาว่า สนธิ แคล้วเขาไม่มีอะไรนะ แวะมาหาเขาหน่อยคุยให้รู้เรื่อง ผมก็บอกว่า ผมไม่ไปหาคุณแคล้ว ถ้าคุณแคล้วมีปัญหาอะไรจะชี้แจงให้ผมก็ยินดีต้อนรับที่ที่ทำงานตลอดเวลา ผมก็จะให้ความเป็นธรรม ลงข่าวตามความเป็นจริง ผมก็เป็นเป้าที่คุณแคล้วจะฆ่าผม ถึงกับส่งมือปืนมา แล้วเผอิญตำรวจยุคนั้นรู้ทัน ก็มีข่าวมาว่าคุณแคล้วจะยิงผม เขามาป้องกัน นี่เป็นตัวอย่างตัวอย่างหนึ่ง 

 

พอทำงานไปสักพักมีความรู้สึก อาจเพราะผมจริงจังกับเรื่องราวมากเกิน ในสายตาหลายคนมองเป็นจุดอ่อนของผม ผู้ใหญ่บางคนบอกมีคนหลายคนเขาอยากคบคุณเป็นเพื่อน คุณจะเอาอะไรก็บอกเขาไป 

 

การยึดอำนาจโดย รสช. ตอนนั้น ที่มี พล.อ. สุจินดา คราประยูร เป็นหัวหน้า ผมจำได้ว่ามีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมากๆ ท่านเรียกผมไปพบที่โรงแรมรีเจนท์ ตรงล็อบบี้ ท่านบอก สนธิ เขาขอมา สนธิช่วยหน่อยสิ สนธิอยากได้อะไรก็บอกเขา เดี๋ยวเขาจัดให้ ผมบอก พี่ครับ ผมสบายดี และผมไม่มีอะไรกับเขา ถ้าเขายินดีคืนอำนาจให้กับประชาชน หรือจะพัฒนาประเทศให้ดีขึ้นด้วยตัวของคณะผู้ปฏิวัติ ผมยินดีให้การสนับสนุน ผมก็ปฏิเสธเขาไป แค่ปฏิเสธแค่นั้น 

 

หลังจากนั้นพอใกล้จะมีการชุมนุม 6 ตุลาคม ตอนนั้นก็มีการส่งทีมมือปืนที่จะยิงผม พอดีมีความโชคดีของเรา มีคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นคนเสิร์ฟเครื่องดื่มยศจ่า พอดีผมมีบุญคุณกับตัวเขากับครอบครัว ที่ว่าลูกสาวเขาเรียนธรรมศาสตร์ แล้วก็คะแนนดีมาก สอบเข้าได้ที่ LSE แต่ทุนที่เขาจะให้ต้องชิงกัน ปรากฏแพ้ เผอิญแกทำงานกับผม ผมก็เลยเรียกตัวมาถามเขาเลยเล่าให้ฟัง ผมเลยบอกพ่อแม่เขา จะส่งให้เรียน LSE มันก็เลยเป็นหนี้บุญคุณที่เขาต้องรีบมาบอกผมว่าได้ข่าวมาอย่างนี้ ผมก็เลยรอดตัว ก็มาจริง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

 

นี่คือที่ผมจะบอกว่าผมเข้าไปวงการสื่อมวลชนแล้วผมทนไม่ได้กับความอยุติธรรม แล้วเผอิญว่าความอยุติธรรมในบ้านเรามันมากเหลือเกิน มีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น 

 

ดังนั้นเมื่อผมต่อสู้กับความอยุติธรรมให้คนหรือชุมชนชุมชนหนึ่ง เท่ากับผมกำลังเอาตัวไปชนกับอำนาจตรงนั้น นั่นก็คือชีวิตผม 

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

คุณสนธิกับคุณทักษิณ จุดเริ่มต้นและจุดที่แตกหักเป็นมาอย่างไร 

 

วันหนึ่งเรื่องของผมกับคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เกิดขึ้น มีอยู่วันหนึ่งแกติดต่อผมมา ผมรู้จักคุณทักษิณในแวดวงธุรกิจ ตอนนั้นผมก็มีบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ชื่อ ไออีซี เป็นบริษัทด้านโทรคมนาคม เช่นเดียวกับคุณทักษิณ ก็รู้จักกันผิวเผิน แกเอ่ยมาขอมากินก๋วยเตี๋ยวที่บ้านผม คุณผดุง (ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์) ก็มาด้วย แกก็นั่งบนศาลา ผมกับคุณทักษิณนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกัน คุณทักษิณก็บอกว่า คุณสนธิ ผมจะมาเล่นการเมืองนะ ผมรวยแล้ว คุณสนธิช่วยสนับสนุนผม  

 

ผมก็บอกว่า คุณทักษิณ ถ้ารวยแล้วจะทำเพื่อส่วนรวม ผมยินดีช่วยเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เขาก็จัดเวลาให้ผมที่ อสมท ผมก็ทำ เมืองไทยรายวัน ก่อน ทำไปสักพักไม่มีเงินก็ลดมาเป็นเมืองไทยรายสัปดาห์ 

 

ระหว่างที่ทำ ผมอึดอัดใจมาก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศชาตินั้น ที่อาจเป็นคุณทักษิณ หรือคนแวดล้อมคุณทักษิณ มันทำให้ผมทนไม่ได้ ผมเลยต้องพูด เลยเอาเรื่องราวที่ผมคิดว่าไม่ชอบมาพากลพูดในรายการ ปรากฏว่าคนที่แวดล้อมคุณทักษิณเขาไม่พอใจ ก็ไปพูดกับคุณทักษิณ แล้วก็มีคำสั่งให้ปลดรายการนี้ออก ตอนนั้นคุณเรวัต ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุดเป็นประธานบอร์ด อสมท ผู้อำนวยการยุคนั้นคือคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

กำเนิด ASTV คุณสนธิเลือกลงถนนกลายมาเป็นแกนนำเพราะอะไร

 

ผมออกจากตรงนั้นผมก็คิดว่าจะทำต่อหรือไม่ทำต่อ ในที่สุดผมคิดว่าเกิดมาทั้งที อายุป่านนี้ อยู่ไปอีกไม่กี่สิบปีก็ตายแล้ว ทำต่อแล้วกัน จึงเกิดเป็น ASTV โทรทัศน์ในตำนานที่สร้างความเปลี่ยนแปลง จริงๆ เป็นช่องแรกที่เราทำแล้วเราพูดว่าเราเป็นทีวีเลือกข้าง ผมแน่ใจว่าช่อง 22 (Nation TV) เขาก็พูดว่าเขาเลือกข้าง ช่อง Voice TV เขาก็เลือกข้าง ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจาก ASTV ทั้งนั้น ขบวนการประชาชนจะไม่มีวันเติบโตขึ้นได้ถ้าไม่มี ASTV 

 

พอทำไปทำมา ถามว่าผมพอใจไหม ผมไม่พอใจ เพราะว่าผมอึดอัดใจมาก ผมอยากจะนั่งคุยแล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คนฟัง วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ให้คนมาพูดกัน แต่ทำไมผมต้องขึ้นไปเวที เดินนำคน และรับผิดชอบต่อคนทั้งหมดที่เข้ามาร่วม ผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร น่ากลัวมาก มีคนล้อมตัวผม 

 

ผมขมขื่นไหม ผมขมขื่นแต่ผมไม่พูด เพราะประชาชนเขาพึ่งพาผมในการนำในยุคนั้น เพราะมีคนพยายามลุกมาสู้คุณทักษิณช่วงนั้น ตอนนั้นที่สู้ สู้ในประเด็นหลักๆ คือ เผด็จการรัฐสภา ขายหุ้นแล้วไม่เสียภาษี มีประเด็นที่คนรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับผมเพราะไม่ได้อยู่ในยุคนั้น 

 

ข้อกล่าวหาคุณสนธิกับสถาบันก็มีเหมือนกัน

 

ยุคนั้นผมก็ถูกกล่าวหาว่าผมโหนสถาบัน ซึ่งผมยอมรับว่าผมต้องต่อสู้เพื่อพระองค์ท่าน แต่ไม่ได้คิดที่จะโหนสถาบัน และผมก็ไม่เคยได้อะไรจากสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าสิ่งที่ผมทำ ผมเชื่อในสิ่งที่ผมทำ ตรงนั้นก็นำไปสู่หลายๆ เรื่องต่อไปในอนาคตก็กลายเป็นว่าผมนี่โหนสถาบันเพื่อทำลายฝั่งตรงข้าม 

 

แต่ประเด็นคือ ณ วันนั้นถ้าผมไม่ลุกขึ้นมาสู้ จะไม่มีใครมองเห็นว่ามีการจาบจ้วงจริงๆจังๆ อย่างชนิดที่เรียกว่าวางกันเป็นกระบวนการ ซึ่งภายหลัง หน่วยข่าวกรองของรัฐบาลก็ยอมรับ มีแผนผังออกมาหมดเลยว่าใครเกี่ยวกับใคร ใครให้เงินใคร ผมก็เฉยๆ ผมถือว่าผมได้เป็นคนเปิดเผย ผมเป็นเพียงคนที่จุดประกาย เพราะฉะนั้นในทางการเมืองฝ่ายคุณทักษิณ ไม่ชอบผมอย่างแน่นอน 

 

ยุคนั้นผมก็ถูกกล่าวหาว่าผมโหนสถาบัน ซึ่งผมยอมรับว่าผมต้องต่อสู้เพื่อพระองค์ท่าน แต่ไม่ได้คิดที่จะโหนสถาบัน และผมก็ไม่เคยได้อะไรจากสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่นิดเดียว

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

มีคนบอกว่าตัวการรัฐประหารปี 2549 คือคุณสนธิ คิดอย่างไร

 

เขาบอกว่าผมเป็นตัวการให้มีการปฏิวัติปี 2549 แต่ต้องเรียนให้ทราบ วันนั้นผมไม่รู้เรื่องเลย ผมรู้แต่คุณทักษิณจะเดินทางกลับมาจากนิวยอร์ก ประชาชนกระเหี้ยนกระหือรือมากที่จะไปล้อมสนามบิน ผมคิดว่าไม่ควรทำ เพราะถ้าไปเช่นนั้นเสียงปืนลั่นนัดหนึ่งนองเลือดกันทันทีเลย โชคดีที่คืนนั้น พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน เข้ามาปฏิวัติ แต่ไม่ใช่เพราะผมเชื้อเชิญ แต่เพราะคุณทักษิณกำลังจะย้าย พล.อ. สนธิ ออกจาก ผบ.ทบ. 

 

เพราะฉะนั้น ผมก็เลยเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าทหารจะปฏิวัติถ้าตัวเองไม่เสียประโยชน์ จะไม่ทำ แต่เมื่อไรตัวเองเสียประโยชน์ ตัวเองจะทำ แล้วก็หลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้น บางครั้งผมอยากให้ทหารปฏิวัติไหม ผมอยากให้เหมือนโปรตุเกส ที่พอนักการเมืองมันวุ่นวายมากๆ ทหารออกมาแล้วขับไล่นักการเมืองออกไปแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้บริหารต่อไป แล้วเขาก็ถอยกลับเข้ากรมกอง ผมมองทหารไทยแบบนั้นมากกว่า แต่ทหารไทยไม่เหมือนทหารโปรตุเกส กลับเป็นว่าหาจังหวะที่เหมาะ ทำการปฏิวัติเพื่อให้ตนเองเป็นพระเอก เสร็จแล้วเข้าไปต่อยอดอำนาจทันที 

 

ผมเห็นเรื่องคุณยิ่งลักษณ์ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ที่มีการโกงการจำนำข้าว เสียหาย ตรงนั้นถ้าผมเป็นทหารผมจะออกมายึดอำนาจ ไม่รอหรอกให้คนออกมาเดินขบวน เรียกร้องเต็มท้องถนน ให้สองฝ่ายฆ่ากันไปมา แต่เนื่องจากยังไม่มีการปะทะแบบนั้นทหารก็ยังนั่งเฉย ทั้งๆ ที่เรื่องโกงจำนำข้าวเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เขาไม่ทำอะไร ถ้าเขาทำวันนั้น เขาก็ยุบทุกคนหมดแล้วก็ถอยเข้าไป ถวายคืนอำนาจให้กับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แล้วก็ขอความเมตตาพระองค์ท่านช่วยแต่งตั้งคนเข้ามาบริหารบ้านเมืองในช่วงระยะเวลา 2 ปี หรือ 3 ปี ในขณะที่เราต้องเชิญชวนประชาชนมาพูดกันว่ารัฐธรรมนูญเก่ามีปัญหาอย่างไร รัฐธรรมนูญใหม่ควรเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาไม่ทำ 

 

เพราะฉะนั้น ในกระบวนทัศน์ที่ผมอยากให้ทหารปฏิวัตินั้น ปฏิวัติเนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เป็นเผด็จการในรัฐสภา ยกมือเมื่อไรก็ผ่านเมื่อนั้น และกำลังปู้ยี่ปู้ยำกับชาติบ้านเมือง ผมว่าตรงนี้ถ้าทหารต้องการความมั่นคงภายใน ทหารต้องตัดสินใจแล้ว

 

จนวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่าทุกฝ่ายรอเขมือบโดยมีสงครามตัวแทน ณ วันนั้นผมก็เป็น Proxy ของเขาเหมือนกัน แต่ผมเป็นในลักษณะที่ไม่ค่อยรู้ตัว

 

แต่การอ้างของทหารก็ยังมีการอ้างเหตุผลอื่น ไม่เพียงการทุจริต

 

การพยายามอ้าง การเข้ามาครั้งนี้ ชุดภาษาที่พูดไม่ขาดคำคือ เนื่องจากจะมีการนองเลือดจึงเข้ามาห้าม ทำให้ตัวเขาเองเหมือนพระเอก แต่จริงๆ แล้ว ถ้าพิจารณาลึกๆ การจะนองเลือดหรือไม่นองเลือด แต่ละฝ่ายมีเบื้องหลังทั้งนั้น มีเส้นมีสาย คุณสุเทพ (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ก็มีเส้นมีสาย คุณยิ่งลักษณ์ก็มี ฝ่ายนี้เขาก็จะมีมือปืนป๊อปคอร์น อีกฝ่ายหนึ่งก็มี  

 

ด้วยข้อสมมติฐานตรงนี้เราพออนุมานได้ ปี 2553 ชายชุดดำก็ทำสำเร็จ ในขณะเดียวกันชุดดำก็สร้างปัญหาให้กับอีกฝ่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นการเมืองที่เรามองเห็นว่าธรรมดา จริงๆ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะมาก และผมผ่านมาตั้งแต่ปี 2548 จนวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่าทุกฝ่ายรอเขมือบโดยมีสงครามตัวแทน ณ วันนั้นผมก็เป็น Proxy ของเขาเหมือนกัน แต่ผมเป็นในลักษณะที่ไม่ค่อยรู้ตัว เพราะประเด็นที่ผมต่อสู้เป็นการจะทำอย่างไรไม่ให้พวกนี้สร้างคลื่นต่างๆ เพื่อมาโค่นล้มสถาบัน 

 

ผมเคยพูดไว้แล้ว ผมมันเหมือนสะพานไฟ เขามีการชุมนุมเพื่อขับไล่ทักษิณ หรือชุมนุมอะไรก็ตาม ไม่มีใครเรียกคนได้ แต่ที่ผมเรียกคนได้ไม่ใช่เพราะผมเก่ง แต่เพราะผมมีความจริงใจ และสอง ผมไม่เคยต้องการอะไรทางการเมือง สู้ทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งผมก็ยังอยู่ที่เดิม

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

มันมีต้นทุนที่คุณสนธิต้องจ่ายเยอะมาก แม้แต่ชีวิตก็เคย

 

ต้นทุนที่จ่าย ผมจ่ายมาก ผมเป็นคนเคยรวยมาก่อน ตอนที่ลุกมาสู้ ค่าใช้จ่ายตกวันละล้าน คนชุมนุมเป็นหลายแสน ค่าใช้จ่ายในการจ้างการ์ด อาหารที่เลี้ยงคนที่ช่วยงาน อุปกรณ์ ค่าเช่าสัญญาณดาวเทียม ผมเคยมีโรงแรมอยู่ที่หลวงพระบาง ชื่อเดิม ชื่อ เอ็ม แกรนด์ โฮเต็ล สู้จนหมดตัวไม่รู้จะทำอย่างไร ผมก็เอาโรงแรมขายให้คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งโรงแรมนั้นก็น่าที่จะขายได้หลายร้อยล้านบาท แต่ท่านให้มาแค่ 150 ล้าน ท่านคงรู้ว่าผมร้อนเงิน ผมก็ตัดสินใจขายโรงแรมนั้นไป ก็เอาเงินก้อนนั้นมาถมต่อไปเรื่อยๆ 

 

สู้จนกระทั่งวันหนึ่งเงินเริ่มขาด ผมก็เลยถามภรรยาที่ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ว่าเธอเห็นด้วยไหมกับที่ทำอย่างนี้ ถ้าไม่เห็นด้วยให้บอก แล้วเธอไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องนี้ ให้ฉันเผชิญด้วยตัวฉันเอง เพราะตอนนี้ก็ลำบาก เขาบอก เราเป็นผัวเมียกัน และสิ่งที่เธอทำถูกต้อง ภรรยาผมก็เลยเอาทรัพย์สมบัติส่วนตัวออกมาช่วย เรื่องราวต่างๆ ผมไม่ได้มีหน้าที่มาพูดเรียกร้องขอความเห็นใจ แต่เผอิญถาม ผมเลยเล่าให้ฟัง  

 

ส่วนชีวิตผม มันก็ตลก มีคนพยายามฆ่าผมหลายครั้ง ขนาดส่งมือปืนไปที่บ้านหลังจากปราศรัยเสร็จที่สวนลุมพินี คุณจะเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่แล้วแต่คุณ โทรศัพท์มาจากเลขาพระขององค์หลวงตามหาบัว ผมจำได้ ท่านบอกว่า หลวงตาสั่งให้ออกจากที่พูดแล้วอย่ากลับบ้าน ให้นั่งรถมาที่วัดป่าบ้านตาดทันที ผม, คุณสโรชา (สโรชา พรอุดมศักดิ์), คุณปานเทพ (ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์) นั่งรถไปที่วัดป่าบ้านตาด ท่านให้ผมไปพักในวัดแล้วบอกว่าพักอยู่ที่นี่แล้วปลอดภัย แล้วโทรกลับไปที่บ้าน เด็กที่บ้านบอกมีรถมา 2 คัน คนนั่งเต็มใส่ชุดดำ พกปืน ผมก็พอจะเดาออก แล้วเชื่อไหมว่าหลวงตาท่านเมตตามาก ท่านบอก คุณสนธิ คุณจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่วัดป่าบ้านตาดได้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระป่า สายหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็ออกมานั่งดู มันมีเรื่องมหัศจรรย์หลายอย่างที่ค่อนข้างลึกลับแต่ผมไม่อยากพูด

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

คุณสนธิเคยนับไหมว่าเคยถูกลอบสังหารกี่ครั้ง

 

ผมโดนการพยายามฆ่า ตอนที่ชุมนุมมีตลอดเวลา ก็จับคนได้หลายคนที่พกปืน ทีนี้ผมก็มาคิด หลายครั้งที่ผมอยู่ข้างนอกส่วนตัวหลังชุมนุมเสร็จ ผมมาไล่เลียงดู เรื่องราวเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องราวที่ผมต้องสู้จะมีคนมายุให้ผมสู้ บอกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะเขารู้จุดอ่อนผม ว่าผมสู้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาก็เลยคล้ายๆ เอาน้ำมันมาราด เติมเชื้อไฟให้ลุกโชน 

 

ผมก็สู้ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย หัวร้อนอย่างเดียว จนกระทั่งผมมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ แกนนำทั้งหมดมี 5 คน ทำไมจะยิงคนเดียว คนอื่นไม่เคยมีใครพยายามลอบสังหาร ก็คือว่า ถ้าสนธิตายไปคนหนึ่ง กระบวนการภาคประชาชนก็ล่มสลายหมด เขามองอย่างนี้ ผมไม่รู้เขามองถูกหรือผิด การลอบสังหารมีมาตลอด 

 

แต่การลอบสังหารจริงก็เกิดขึ้นวันที่ 17 เมษายน 2552 เวลา 06.30 น. 11 ปีแล้วนะ จับคนยิงไม่ได้เลยสักคน จับไม่ได้ ทั้งๆ ที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าคนยิงเป็นใคร เป็นลูกน้องใคร เขาบอกว่าคนยิงเป็นลูกน้องคนที่ผมไปวิพากษ์วิจารณ์ ทนไม่ไหว ที่มาด่านายตัวเองก็เลยมาจัดการ แต่ว่าผมก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะคุณมาตั้ง 4 คน ยิงผมด้วยปืนอาก้า 200 นัด นี่มันไม่ใช่ลักษณะทำแทนนายแล้ว แต่วางแผนสังหารเป็นระบบ ตามผมมาตลอด แล้วรู้ว่าผมต้องไปจัดรายการตอนเช้า เขารู้ว่าผมต้องไปที่สถานีก่อน 06.00 น. วันนั้นวันที่ 17 เป็นวันหลังจากกลุ่มเสื้อแดงขนรถแก๊สเข้ามาที่ดินแดง แล้วโดนทหารบล็อก เสร็จสลายตัวออกไป เขาเลยนึกว่าเสื้อแดงจบ เมื่อเสื้อแดงจบเหลือแต่เสื้อเหลือง ถ้ายิงสนธิไปสักคนมันก็จบหมด เข้าใจหรือยัง 

 

นี่คือสิ่งที่ผมคาดคะเนแเล้วผมฟังหลายๆ เหตุการณ์มา เผอิญยิงผมไม่ตาย มันก็มีหลายอย่างอึดอัดใจ แล้วผมคิดว่าไม่ควรพูดดีกว่า ในเรื่องใครบ้าง คือหลายๆ คนเขาก็บอกว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นแค่ทฤษฎี เอากันง่ายๆ ละกัน รุมยิงผม 200 นัดกลางเมืองด้วยอาวุธสงครามเป็นการกระทำที่อุกฉกรรจ์มาก ถึงวันนี้ 11 ปี ไม่มีใครเอาเรื่องนี้สนใจมาติดตามต่อ

 

ถ้าสนธิตายไปคนหนึ่ง กระบวนการภาคประชาชนก็ล่มสลายหมด เขามองอย่างนี้ ผมไม่รู้เขามองถูกหรือผิด การลอบสังหารมีมาตลอด

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

มันมีบางขณะที่รู้สึกกลัวไหม

 

ไม่ใช่ คือถ้าพูดไปแล้วไม่อยากให้คิดว่าเป็นการอวยตัวเอง ผมไม่เคยกลัวแม้แต่วินาทีเดียว แต่ถ้าผมอ่อนล้า เพราะผมสงสารครอบครัวผม ก่อนที่ผมจะมาชุมนุม ผมเรียกประชุมพนักงานทุกคนว่าผมจำเป็นต้องทำเรื่องเหล่านี้ๆ ถ้าใครไม่เห็นด้วย ออกไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ ใครอยู่ต้องร่วมสู้ ทุกคนอยู่ต่อ ภรรยาผมไม่ถอย ผมเพียงแต่สงสารลูกชายผม เขามีชีวิตของเขา ไม่จำเป็นต้องจมปลักกับผม เขาควรไปทำสิ่งที่เขาชอบ เขาทำสำนักพิมพ์การ์ตูน ชื่อบุรพัฒน์ คอมิคส์ ซึ่งก็มีชื่อระดับหนึ่ง แต่เขาต้องมาเกี่ยวพันกับผม ผมไปไหนเขาต้องเดินประคอง ดู จับตา ป้องกันไม่ให้ใครทำร้ายผม 

 

ผมสงสารเรื่องนี้ เขาควรมีความสนุกในฐานะคนหนุ่มคนหนึ่ง แต่เขาไม่ เขาเห็นผมลำบากแล้วเขาเข้าใจการต่อสู้ของผมและร่วมต่อสู้กับผมไป ถามว่าผมมีชัยชนะอะไรไหม ผมไม่เคยคิดว่าการต่อสู้ต้องชนะหรือแพ้ ผมทำเพราะผมเชื่อ

 

ผมไม่เคยกลัวแม้แต่วินาทีเดียว แต่ถ้าผมอ่อนล้า เพราะผมสงสารครอบครัวผม

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

คุณสนธิคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ต่อเนื่องมา ณ เวลานี้ไหม

 

น่าจะใช่ เป็นส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนใดของปัญหา เพราะถ้าสมัยก่อนมันไม่มีปัญหา เพราะมีปัญหาใหญ่อยู่ข้างหลังแล้วไม่มีใครไปทำมัน ไม่มีใครไปกล้าต่อต้านมัน 

 

ผมถามคุณคำหนึ่ง ถ้าวันนั้นผมไม่ออกมา ถามคุณด้วยความสัตย์จริง วันนี้ประเทศไทยเป็นอย่างไร ผมกำลังจะถามว่าแล้วพรรคพวกที่กำลังสวาปามประเทศไทยโดยใช้เผด็จการรัฐสภาหลายๆ อย่าง ณ วันนี้อาจเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับเอเชียหรือของโลกเลยก็ได้ ยังไม่รวมไปถึงความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ 

 

สำหรับผมแล้ว เมืองไทยจำเป็นต้องมีสถาบันกษัตริย์ ไม่มีไม่ได้ เพราะสถาบันกษัตริย์เหมือนพระภูมิเจ้าที่ ที่ทุกคนให้ความเคารพยำเกรง และถ้าไม่ใช่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เข้ามาในความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง พล.ต. จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ที่พระองค์ท่านมีรับสั่งเรียกทั้งสองคนเข้ามาเข้าเฝ้า แล้วพระองค์ท่านก็สั่งสอนทั้งคู่ ให้จบกันไป ถ้าไม่มีพระองค์ท่านชาติบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร 

 

ดังนั้นผมเห็นว่าสถาบันกษัตริย์ อย่างไรต้องมีความจำเป็น แต่บทบาทจะเป็นเหมือนเดิมหรือจะเปลี่ยนไปอย่างไรต้องปล่อยให้วิวัฒนาการของสังคมมันเป็นไป แต่ผมไม่เสียใจที่ผมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะผมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเปิดหูเปิดตาได้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

 

สำหรับผมแล้ว เมืองไทยจำเป็นต้องมีสถาบันกษัตริย์ ไม่มีไม่ได้ เพราะสถาบันกษัตริย์เหมือนพระภูมิเจ้าที่ ที่ทุกคนให้ความเคารพยำเกรง

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

ในสายตาคุณสนธิ คุณทักษิณต้องวางบทบาทอย่างไร เพราะผ่านการเลือกตั้งมาหลายรอบ พรรคเก่าของคุณทักษิณได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้รับการยอมรับมาตลอด

 

คุณทักษิณมีความชอบธรรมมาก ป๊อปปูลาร์มาก ผมยังเชื่อว่าถ้ามีการเลือกตั้งกี่ครั้งๆ และเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ไม่มีความกดดัน พวกคุณทักษิณก็จะชนะเหมือนเดิม

 

เพราะอะไร เพราะคุณทักษิณเป็นคนฉลาดและเก่งมาก เขาลงไปล้วงลูกได้ข้างล่าง เขาเป็นคนเอาเงินไปแจกประชาชนเป็นคนแรกเรื่องกองทุนหมู่บ้าน และเขาเป็นคนทำนโยบายที่โดนใจประชาชน 30 บาทรักษาทุกโรค อันนี้เป็นเรื่องที่สวรรค์มอบให้กับประชาชนคนไทย เพราะถ้าสมัยก่อนคุณเป็นไข้ต้องเข้าโรงพยาบาล เหมือนคุณตายแล้วนะ ที่ตายไม่ใช่เพราะเป็นโรค แต่ตายเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ดี 

 

คุณทักษิณทำอะไรหลายอย่างดี แต่เพราะมีคนช่วยคิดให้ อย่าง 30 บาทเพราะมีหมอสงวน (นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์) เป็นคนคิด และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นคนนำเรื่องต่อไป เพียงแต่ว่าคุณทักษิณ มองว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน และในมุมกลับก็จะเป็นประโยชน์แก่คุณทักษิณ สร้างคะแนนนิยม รวมทั้งการให้กองทุนหมู่บ้าน การให้ทุนการศึกษานักเรียนหมู่บ้านละ 1 ทุน เป็นสิ่งที่ดี ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการออกมาตรการต่างๆ ถึงแม้เป็นมาตรการประชานิยม แต่ประชาชนได้ประโยชน์

 

คุณทักษิณเป็นคนมองการณ์ไกล อันนี้ข้อดีเขา แต่ข้อเสียเขาก็มี เขายังไม่แก้ข้อเสียนี้ เขายอมให้ครอบครัวพี่น้องเขา ทำมาหากินได้ประโยชน์จากการที่เขามีอำนาจ อันนี้พิสูจน์ชัดหลายเรื่อง แม้กระทั่งเล็กๆ น้อยๆ

 

เพราะฉะนั้น การที่พรรคพลังประชารัฐจะดูดพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีการดูดมาก่อน อะไรที่พรรคพลังประชารัฐทำตอนนี้เขาก็อ้างว่าคุณทักษิณเคยทำมาก่อน ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริง จึงเป็นคำถามว่าถ้าเราไม่บันยะบันยังเรื่องนี้ ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เพราะคุณทักษิณมีอำนาจครอบงำอัยการ ผู้พิพากษาบางส่วน ตำรวจ ทหารเพื่อนรุ่นเดียวกันเริ่มเป็นใหญ่ ตรงนี้สำหรับผมน่ากลัว คุณทักษิณรีบร้อนไปไหน อยากจะรวบอำนาจ เพราะฉะนั้น เขาก็เลยโดนคดีที่ ป.ป.ช. เล่นงานเขา 

 

หลายคนบอกว่าโดนไม่แฟร์ แต่ฝ่ายตรงข้ามเขาเอากฎหมายมาวาง เหมือนที่คุณธนาธร (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) โดน ส่วนกฎหมาย ผู้ใช้กฎหมายนั้นจะเป็นธรรม เลือกปฏิบัติ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

 

ทำไมเขาถึงเลือกปฏิบัติแล้วกับคนอื่นเขายังเฉยๆ อยู่ นี่คือการเมือง คุณจะยอมรับตรงนี้ไหม นี่คือการเมือง หรือคุณจะไม่ยอมรับ นี่คือความจริงในปัจจุบัน พอคุณทักษิณโดนเล่นงานตรงนี้ คุณทักษิณก็ Jerk ผมติดคุกได้อย่างไร 

 

ถ้าผมเป็นคุณทักษิณวันนั้น ผมเดินเข้าคุก โทษ 2 ปี ยอมเดินเข้าคุก รัฐบาลเป็นของคุณทักษิณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นของคุณทักษิณ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ก็ต้องทำตามคำสั่งของรัฐมนตรี คุณทักษิณอยู่ไม่เกิน 6 เดือนก็ออก แล้วเท่ เพราะยอมรับในระบบนิติรัฐ

 

ผมไม่เสียใจที่ผมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะผมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเปิดหูเปิดตาได้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

ทำไมไม่มีใครให้คำปรึกษาคุณทักษิณแบบนี้

 

เพราะคุณทักษิณก็คล้ายๆ พล.อ. ประยุทธ์ คือ ไม่ฟังใคร คน พอเวลามีอำนาจขึ้นมา มันมีข้อเสียอย่าง เริ่มหูหนวก ฟังใครไม่เป็น เพราะฉะนั้น จุดผิดพลาดก็อยู่ตรงนี้ 

 

ข้อที่สอง คุณยิ่งลักษณ์ที่โดนโทษ ถ้ายอมเดินเข้าคุก คสช. วันนี้เหนื่อย เพราะพอเดินเข้าคุกประชาชนก็มาให้กำลังใจคุณยิ่งลักษณ์ ดูสิ ผู้หญิงไม่มีอะไรผิด คนที่ผิดน่าจะเป็นคุณบุญทรง น่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ แล้วคุณยิ่งลักษณ์ผมก็ว่าไม่เกิน 2 ปี หรือสูงสุดไม่เกิน 3 ปี 

 

คุณยิ่งลักษณ์ คุณทักษิณ ถ้าออกมา ผมว่า 10 คสช. ก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลยนะ อาจเป็นเพราะตรงนี้ เป็นที่เขาจับจุดอ่อนได้ เขาก็เลยบีบเพื่อให้หนี เพราะถ้าไม่หนีแล้วยอมเดินเข้าคุกคนที่เหนื่อยคือทหาร เพราะมวลชนสนับสนุนเต็มที่ ผมเชื่อว่าทัณฑสถานหญิงกลางจะมีคนเยี่ยมทุกวัน แล้วแกจะออกมาอย่างฮีโร่จริงๆ เมื่อเขาผิดพลาด เดินทางหนีไปต่างประเทศ แล้วเขาไม่รู้ว่าเขายังสู้กับอะไรอยู่ เขายังแสดงสร้างสภาวะว่าคนจะนิยมเขา เวลามีการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อไทยต้องไปขอคำแนะนำเขาก็ยังสั่งได้ บทบาทตรงนี้ทำให้มีความเชื่อมั่นว่าคุณทักษิณไม่ยอมล้างมือ

 

ผมก็นั่งดูด้วยความสงสาร แต่คนที่จะได้รับผลกระทบจากคุณทักษิณในด้านการเมืองเขาก็ต้องเอาคุณทักษิณให้ตายสิ ใช่ไหม นี่คือหลักการง่ายๆ ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนเลยว่าคุณทักษิณพลาดตรงไหน

 

คุณทักษิณมีความชอบธรรมมาก ป๊อปปูลาร์มาก ผมยังเชื่อว่าถ้ามีการเลือกตั้งกี่ครั้งๆ และเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ไม่มีความกดดัน พวกคุณทักษิณก็จะชนะเหมือนเดิม

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

ตอนนี้มีคนที่จะเอาการเมืองแห่งความหวังกลับมาอีกครั้ง คือคุณธนาธร วันที่คุณสนธิเปิดบ้าน ก็พูดถึงคุณช่อด้วย พูดถึงแนวทางของพรรคอนาคตใหม่ด้วย โดยส่วนตัวคุณสนธิ ตอนอยู่เรือนจำได้ติดตามอย่างไรบ้าง

 

ผมดูทีวี เมื่อดูแล้วจากประสบการณ์ในชีวิตจากที่ผมอยู่วงการนี้มานาน ผมมีความรู้สึกว่าคุณธนาธร เส้นทางที่เดินไปขวากหนามเต็มไปหมด เหตุผลที่คุณธนาธร คุณช่อ (พรรณิการ์ วานิช) อาจารย์ปิยบุตร (ปิยบุตร แสงกนกกุล) พรรคอนาคตใหม่ มีขวากหนามเต็มไปหมด เพราะคุณธนาธรมีปัญหาในเรื่องนิตยสาร ฟ้าเดียวกัน นี่ของเก่า อาจารย์ปิยบุตรก็มีปัญหาที่อยู่กลุ่มนิติราษฎร์ เพราะฉะนั้นสองประเด็นนี้เป็นประเด็นที่คาใจคนอีกเยอะ หรือจะเรียกคนพวกนี้ว่าอนุรักษ์นิยมก็ว่าไป 

 

เพราะฉะนั้น พวกนี้มองว่าคุณธนาธรเป็นสาขาหนึ่งของพรรคเพื่อไทย แต่คุณธนาธรก็พยายามดิ้นในเรื่องนี้ให้เห็นว่าไม่เกี่ยว ถึงกับมีความขัดแย้งให้เห็นออกมา

 

อันที่สอง คุณธนาธรเข้ามาเล่นการเมืองที่เขี้ยวลากดิน ในระบบรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคุณมีชัย ฤชุพันธ์ุ ส่วนจะมีใครอยู่เบื้องหลังว่ากันอีกเรื่อง แต่ที่ชัดคือคุณมีชัย เป็นการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประโยชน์กับกลุ่มพรรคพลังประชารัฐ และกลุ่มที่มีอำนาจปัจจุบันนี้ 

 

คุณธนาธรรู้อยู่แล้วว่าเขามีอำนาจรัฐทุกประการ เขาคุม DSI ได้ กกต. เขาก็เป็นคนตั้ง ถ้าเอา กกต. มาเล่นงานคุณธนาธร ก็ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ถูกไม่ถูก เมื่อคุณธนาธรรู้อย่างนี้อยู่แล้วทำไมถึงไม่ป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยการรอบคอบทุกอย่าง อย่าเปิดช่องโหว่ แล้วทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นช่องโหว่ทั้งสิ้น แล้วพวกนี้ไม่ได้พูดอะไร ก็ว่าไปตามกฎหมาย แล้วคนไทยก็มีความเชื่อว่าเรื่องต้องจบได้ที่ศาล ซึ่งข้อเท็จจริงบางเรื่องศาลก็ไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้ายเหมือนกัน เพราะว่ามีหลายคดีที่ศาลพิพากษามาแล้วอาจจะยอมรับแต่ไม่เห็นด้วย 

 

เพราะฉะนั้น คุณธนาธรต้องรู้สิ เหมือนเดินไปดงนักเลง แล้วคุณธนาธรก็ยังแสดงอาการซ่าอยู่ ก็เลยโดนรุมกินโต๊ะ ทั้งที่สิ่งที่คุณธนาธรทำทุกคนก็ทำเหมือนกันหมด เพียงแต่คุณธนาธรรู้สึกอยากเท่ เปิดเผยออกมา เหมือนการให้เงินกู้กับพรรค 191 ล้านบาท ถามว่าพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินไปเท่าไร ใช้ไม่ได้น้อยกว่า 191 ล้าน เผลอๆ เยอะกว่า แต่เขามีวิธีการที่แนบเนียนกว่า เพียงแต่คุณธนาธรอยากเท่ ว่าโปร่งใสนะ ซึ่งเป็นข้อที่ดี แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วมันผิดกฎหมาย เขาก็จะถามต่อ ว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นหนี้คุณธนาธร 191 ล้าน โดยพฤตินัยเป็นเจ้าของพรรคหรือเปล่า ถ้าเป็น มันก็จะต่างอะไรกับการที่เราต่อสู้มาตลอดว่าไม่ควรมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งกุมอำนาจเหนือพรรคด้วยอำนาจเงิน ตรงนี้คือจุดตายอีกจุด

 

คุณธนาธรรู้อยู่แล้วว่าเขามีอำนาจรัฐทุกประการ เขาคุม DSI ได้ กกต. เขาก็เป็นคนตั้ง ถ้าเอา กกต. มาเล่นงานคุณธนาธร ก็ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ถูกไม่ถูก เมื่อคุณธนาธรรู้อย่างนี้อยู่แล้วทำไมถึงไม่ป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

แต่ก็มีคนสนับสนุนสิ่งที่คุณสนธิมองว่าเขาซ่า มองว่าล้ำหน้า หรือไปไกล เป็นฐานสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เป็นคนรุ่นใหม่ คุณสนธิมองอย่างไรกับการเมืองไทย

 

ผมว่าคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยกับคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงมีความเหมือนกัน แต่ในความเหมือนก็มีความต่าง ที่เหมือนคือคนพวกนี้เกิดมาในยุคโซเชียลมีเดียกำลังโต ต่างจากยุคผมที่อ่านหนังสือพิมพ์ คนรุ่นใหม่อยู่กับตัวเอง เล่นแต่โซเชียลมีเดีย คนรุ่นใหม่ก็เริ่มเพาะเรื่องราวต่างๆ เข้าสู่สมองตัวเอง ไม่เหมือนคนรุ่นเก่าที่เป็นสภากาแฟคุยกันแลกเปลี่ยนไอเดีย มันเป็นการเสริมปัญญาในอีกลักษณะ แต่คนรุ่นใหม่กังวล ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร กังวลเรื่องของตัวเอง ผมมีสิทธิไหมที่จะทำธุรกิจของผมเองได้ ผมมองซ้าย มองขวา เห็นเจ้าใหญ่ๆ มันผูกขาดไปหมด แล้วผมจะมีพื้นที่ให้ตัวผมเองเติบโตได้ไหม 

 

คุณสังเกตไหม ผมสังเกตยุคนี้ร้านกาแฟเยอะจริงๆ แสดงว่าเจเนอเรชันนี้ไม่อยากเรียนหนังสือ มหาวิทยาลัยเอกชนตอนนี้ยอดที่คนไปสมัครเรียนลดลงมามาก คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการเข้าทำงาน 08.30 น. เลิก 17.00 น. คนรุ่นใหม่รู้สึกอยากไปแสวงหาต่อไป ไม่เหมือนคนรุ่นเก่า ข้อที่สอง 4-5 ปี ที่ คสช. มีอำนาจ อำนาจที่เขากำหนดในชีวิตคนในลักษณะกฎหมาย ระเบียบของราชการที่เพิ่มเติมมา มันกดดันตัวเขามาก คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการให้มีขื่อคามาแขวนแบกในระเบียบที่คุณตีกรอบ ความกดดันตรงนี้ไม่มีทางออกเลยแม้แต่นิดเดียว และคนรุ่นใหม่ไม่ต้องการไปร่วมเดินขบวนกับพวกคนอยากเลือกตั้ง 

 

คนรุ่นใหม่เขาเห็นใจ และเผอิญคนพวกนี้พูดอะไรแล้วโดนใจเขา และคุณธนาธร คุณปิยบุตร จะมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรเขาไม่สนใจ เขาสนใจแต่ว่า คำพูด นโยบาย วิธีการ การนำเสนอ มันโดนใจพวกเขา พวกเขาก็เลยต้องเท เพราะที่นี่ก็ยังมีอนาคต เพราะยังมีพรรคอนาคตใหม่อยู่ แต่ที่ฮ่องกง มันไม่มีอนาคตเลย แต่ลักษณะคนรุ่นใหม่เป็นอย่างนี้จริงๆ 

 

ทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสในชีวิต ผมว่าเขาต้องการโอกาส ต้องการจะรู้ว่าเขาโตขึ้นมาแล้ว เมื่อเขาผ่านพ้นวัย เขาจบปริญญาตรี หรือไม่ต้องเรียนปริญญาตรี เขาจะใช้ชีวิตอย่างไร แล้วเขาเห็นพ่อแม่เขา เขาเห็นสังคมแบบนี้ เขาเห็นสารพิษแบบนี้ เห็นระบบราชการมีอำนาจครอบงำสังคมทุกหน่วยทุกโมเลกุล จะต้องรายงานราชการ ใบอนุญาตที่มีมากที่สุดในโลกนี้ที่ต้องขออนุญาต กฎกติกาทุกอย่าง เยอะแยะไปหมด เขามองเหมือนสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วในลักษณะนั้น ถ้าผมเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะคนพวกนี้คือทรัพยากรของประเทศที่จะต้องเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต แล้วกลับมาช่วยประเทศ การเปิดร้านกาแฟ ร้านอาหาร ก็เป็นการช่วยประเทศเหมือนกัน เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็มีหน้าที่ของรัฐบาล

 

บางครั้งรัฐบาลใช้หลักของอนุรักษ์นิยมมากเกินไป ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง คนที่ทำอีคอมเมิร์ซ คนไปดู ที่ได้ดีๆ คนรุ่นใหม่ทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันไรเลย เหมือนกับสตาร์ทอัพ ยังไม่ทันให้มันพัฒนาเลย ให้เติบโต สรรพากรบอกว่าจะเก็บภาษีทันที นี่คือลักษณะการบริหารงานของราชการไทย แทนที่คุณจะปล่อยให้มันโต ฐานมันหนาแน่นขึ้นแล้วคุณค่อยบอกจะเก็บภาษี แล้วภาษีก็ไม่ได้เก็บให้มันจริงจัง เพราะที่ควรเก็บภาษีก่อนเพื่อนก็คือ Google, LINE, Facebook เพราะมันทำรายได้ แต่มันไม่โดนภาษี ทำไมไม่เก็บก่อน

 

แต่จากที่ถามไป มันมีสิ่งที่พวกคนรุ่นผมยังไม่เห็นว่าจะออกจากวังวนความขัดแย้งอย่างไร มันไม่มีโอกาสจะเห็นในคนรุ่นผม

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าคนรุ่นเก่าที่กำหนดกติกาให้คนรุ่นใหม่ต้องใช้ต่อ ไม่เคยเข้าใจข้อเท็จจริงในสังคมเลยแม้แต่นิดเดียว คุณไปถามคนต่างๆ ที่มันต้องการให้การเมืองดีขึ้น มันจะพูดอยู่อย่างเดียวว่าต้องร่างรัฐธรรมนูญ คนรุ่นเก่าพูดอย่างเดียวว่ารัฐธรรมนูญดีชาติจะดี มันไม่ใช่ ผมเคยพูดแล้วผมรู้ว่าคุณกำลังจะถามผมด้วย ผมเคยพูดว่า ประชาธิปไตยมันเป็นแค่ลมปาก มันไม่เป็นแค่ลมปากได้อย่างไร ทุกรุ่น ทุกรัฐธรรมนูญที่ร่างผม บอกผมเป็นประชาธิปไตยที่สุด ประชาธิปไตยอยู่ตรงไหน ประชาธิปไตยของคุณคือการที่คุณมี ส.ส. เป็นตัวแทนเข้ามาแล้วยกมือในสภา ผมเรียกว่าประชาธิปไตย 4 วินาที หลังหย่อนบัตร ประชาธิปไตยไม่มีแล้ว  

 

สำหรับผมแล้วประชาธิปไตย จะเป็นรูปแบบการปกครองแบบไหนผมไม่แคร์ ขอให้ผลประโยชน์ตกที่ประชาชน

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

การเมืองแบบที่เราเห็น มันมีความหวังไหม

 

ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าคนรุ่นเก่าที่กำหนดกติกาให้คนรุ่นใหม่ต้องใช้ต่อ ไม่เคยเข้าใจข้อเท็จจริงในสังคมเลยแม้แต่นิดเดียว

 

มันจะปลุกหรือสร้างความหวังได้อย่างไร

 

ก็นั่นไง มันสร้างความอึดอัด ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่ ผมก็อึดอัด ผมนี่ 72 ปีแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่าวันที่ผมตายการเมืองไทยจะดีขึ้นหรือเปล่า วันนี้เขาทะเลาะกันเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ 

 

ผมจะทิ้งระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่ง อย่าไปแก้เลย ร่างมันใหม่อีกทีดีไหม คุณไปแก้ทำไม เพราะรัฐธรรมนูญครั้งนี้คุณแก้ก็แก้เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลไม่เสียเปรียบมากนัก ประเด็นอยู่แค่นี้เอง รัฐบาลที่เคยได้เปรียบอยู่แล้วก็ไม่อยากให้แก้ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญคราวที่แล้ว กระบวนการร่างไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย ทำไมเราไม่มาร่างกันใหม่ อย่าง ส.ว. 250 คนที่แต่งตั้งมา คือไม่ว่าคุณจะมองว่ากลุ่มซีพี ของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ เขาผูกขาด อย่างไรก็ตามแต่ความสำคัญของเขามีไหมในสังคมไทย เขาเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ไม่ควรปฏิเสธเขาในการเป็นวุฒิสมาชิก เพราะเขาต้องเข้าไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขา 

 

ในขณะเดียวกัน สหพันธ์ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน สวนยาง พวกนี้มีความสำคัญ เขาก็ต้องเข้าไปเพื่อปกป้องราคายางของเขา 

 

ประเทศไทยคือขนมเค้กชิ้นใหญ่ เราทำอย่างไรให้คนทุกภาคส่วนมีสิทธิมีส่วนในการกินขนมเค้กนี้ ทำอย่างไรให้คนไม่เคยได้กินเลยมีสิทธิได้กิน ให้คนที่ได้กินชิ้นใหญ่ได้กินลดลงเหลือชิ้นเล็กๆ ตรงนี้ต่างหากที่ผมอยากเห็น ต้องร่างใหม่หมดทุกอย่าง ให้คนมีส่วนร่วม และไม่ต้องมีพวกหัวหมอ

 

คือคนรุ่นเก่าพอพูดถึงรัฐธรรมนูญ ทุกคนจะมองไปที่สามคน มีชัย ฤชุพันธ์ุ, วิษณุ เครืองาม, บวรศักดิ์ อุวรรณโณ แต่ทั้งหมดมีบวรศักดิ์คนเดียวที่สำหรับผมใช้ได้ สองคนที่เหลือ คุณวิษณุ คุณมีชัย เป็นมือปืนรับจ้าง พร้อมทำให้ผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจต้องการแบบไหนก็จะคิดทางกฎหมายเพื่อมาสนับสนุนผู้มีอำนาจ

 

สนธิ ลิ้มทองกุล

 

อะไรที่คนควรเรียนรู้จากคุณสนธิมากที่สุด และเรื่องที่ไม่ควรทำตามคุณสนธิ

 

ผมคิดว่าทุกอย่างไม่ควรทำตามเลย เพราะว่าผมเป็นคนที่หัวร้อน บางครั้งเราต้องกลัวบ้าง บางครั้งเราก็ต้องแกล้งกลัวบ้าง แต่ผมแกล้งไม่เป็น อย่าเลียนแบบเลย อันที่สอง ผมอยากให้คนรุ่นใหม่มีสติมากกว่าเก่า เพราะคนรุ่นใหม่หลายๆ คน สติแตกง่าย ไม่เหมือนผม ผมผ่านร้อนผ่านหนาว จะหาคนที่มีประสบการณ์ชีวิตเหมือนผม ในประเทศไทย ไม่มีแล้ว 

 

ฉะนั้น สิ่งที่ผมอยากสอนคนรุ่นหลัง ว่าให้ใจเย็นเอาไว้ และที่สำคัญที่สุด พระเจ้าให้หู 2 หู ปาก 1 ปาก ธรรมชาติต้องให้คุณฟังมากกว่าพูด ฟังเยอะๆ วิเคราะห์ คิด ไม่ใช่ใครพูดอะไรแล้วก็เชื่อตาม เหมือนที่ผมพูด ไม่ต้องเชื่อหรอก ฟังแล้วคิดตามว่ามีเหตุผลไหม

 

อยากฝากให้คนรุ่นใหม่มีสติตลอดเวลา และใช้ปัญญาให้มากที่สุด แต่ผมเห็นใจเขา ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่คือการลงทุนของคนรุ่นเก่า ที่จะให้เขากลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของประเทศชาติ

 

คนรุ่นเก่ายุคนี้จะลงทุนกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้อย่างไรให้เขามีปัญญา มีความกล้าหาญ ให้เขามีจริยธรรม ศีลธรรม ตรงนี้ต่างหาก ถ้าคนรุ่นเก่ายุคนี้กลับทำในสิ่งตรงข้ามหมด จะให้คนรุ่นใหม่ยุคนี้เชื่อคนรุ่นเก่าได้อย่างไร นั่นคือเหตุผลที่คนเฮโลไปลงคะแนนเสียงให้พรรคอนาคตใหม่

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X