ECB คงดอกเบี้ยตามคาด, Goldman Sachs คาด Fed ลดดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า: 5 ปัจจัยที่นักลงทุนต้องรู้ (25 ต.ค. 2562)

วานนี้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม อันประกอบไปด้วย 1. Main Refinancing Operations ที่ 0.00% 2. Marginal Lending Facility Rate ที่ 0.25% 3. Deposit Facility Rate ที่ -0.50% นอกจากนี้ยังเริ่มโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ Asset Purchase Programme (APP) อีกครั้ง ที่ 20,000 ล้านยูโรอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนอัตราเงินเฟ้อให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับใกล้เคียง 2% พร้อมทั้งระบุว่าจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในแต่ละประเทศ อีกทั้งประเทศสมาชิกที่ยังมีความสามารถด้านการคลังก็ควรเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนประเทศที่มีหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงก็ควรดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้นโยบายการเงินทั้งหมดนั้นมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

สหรัฐฯ ยันไม่ต้องการทำให้จีนโดดเดี่ยว ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต้องการจำกัดพัฒนาการและเผชิญหน้ากับจีน แต่เป็นที่ชัดเจนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงต่อต้านการเปิดประเทศอย่างแท้จริง หรือยังต่อต้านภาวะปกติของทั่วโลก พร้อมทั้งระบุว่าสหรัฐฯ จะยังคงกดดันจีนต่อไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการค้าที่เป็นธรรมบนฐานแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน และเป็นไปตามกฎเกณฑ์สากล แม้การเจรจาการค้าที่ผ่านมาจะส่งสัญญาณคลายความตึงเครียดแล้วก็ตาม

Goldman Sachs คาด FOMC ลดดอกเบี้ยพร้อมส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้น Goldman Sachs คาดคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) จะมีประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งส่งสัญญาณกระตุ้นทางการเงินในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อเตรียมดำเนินการออกนโยบายทางการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต โดยระบุว่าคำในแถลงการณ์อย่าง Midcycle Adjustment และ act as appropriate จะถูกตัดออกไปเพื่อส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางพร้อมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น และลดโทน Hawkish ลง

คลังเผย ธนาคารโลกขึ้นอันดับไทยทำธุรกิจง่าย อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าธนาคารโลก (World Bank) ได้เผยแพร่การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี 2563 (Doing Business 2020) ของประเทศต่างๆ รวม 190 ประเทศ ผลปรากฏว่าปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 21 ดีขึ้น 6 อันดับ จากอันดับ 27 ในปีที่แล้ว โดยประเทศไทยได้คะแนน 80.10 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 1.65 คะแนน นับเป็นอันดับที่ดีที่สุดของไทยในรอบ 6 ปี และมีคะแนนขึ้นมาใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอยู่อันดับที่ 2 (86.20 คะแนน) และมาเลเซีย ซึ่งอยู่อันดับที่ 12 (81.50 คะแนน) การที่ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นในครั้งนี้เป็นผลจากความพยายามของภาครัฐในการดำเนินมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามลดขั้นตอนการขออนุมัติ หรือการนำระบบดิจิทัลเข้ามาให้บริการภาครัฐ รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบททางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้น รวมถึงการคุ้มครองผลประโยชน์ของนักลงทุน โดยด้านที่ไทยได้รับอันดับดีขึ้นและคะแนนสูงขึ้นมีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง (Dealing with Construction Permits) 2. ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย (Protecting Minority Investors)

Brexit ส่อแววเลื่อนอีกครั้ง บอริส จอห์นสัน ดันเลือกตั้งใหม่ 12 ธันวาคม ที่ประชุมสหภาพยุโรปเตรียมดำเนินการพิจารณาเลื่อนกำหนดการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ออกไปอีก 3 เดือนในการประชุมวาระพิเศษ 28 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าญัตติดังกล่าวจะผ่านได้ ส่งผลให้กำหนดการแยกตัวจะกลายเป็นสิ้นเดือนมกราคม 2020 แทน

ภาวะตลาดวานนี้

ดัชนี Dow Jones ปิดลบเล็กน้อยหลังจากบริษัท 3M และ Twitter รายงานรายได้ต่ำกว่าคาด ขณะที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอื่น เช่น Microsoft ผลประกอบการออกมาแข็งแกร่ง ช่วยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์และกลุ่มเวชภัณฑ์ออกมาดีกว่าคาด และได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสหภาพยุโรป (EU) จะอนุมัติให้อังกฤษขยายกำหนดเวลาการถอนตัวออกจาก EU (Brexit)

ตลาดเอเชีย ดัชนี Hang Seng ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดบวกเล็กน้อย หลังจากรัฐบาลฮ่องกงประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (255 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เนื่องจากการชุมนุมประท้วงรัฐบาล

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปิดในแดนลบจากแรงฉุดในกลุ่มแบงก์ ภายหลังจากที่ธนาคารกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการปี 2020 สร้างแรงกดดันต่อกลุ่มธนาคาร ทำให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ออกมาฉุดดัชนีฯ ราว 6-7 จุด แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้ายังช่วยประคองตลาดเอาไว้

ตลาดน้ำมันปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังจากสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่น้อยกว่าที่คาด และความคาดหวังที่กลุ่ม OPEC จะลดกำลังผลิตในการประชุมเดือนธันวาคมนี้

ตลาดทองคำปิดบวก กลับมายืนเหนือระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง หลังจากสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แม้ผลประกอบการหลายๆ บริษัทยังแข็งแกร่ง แต่นักลงทุนยังคงกังวลเศรษฐกิจในภาพรวม ส่งผลให้มีการลงทุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

สหรัฐฯ