หลังจากเริ่มรู้สึกไม่สนุกกับการร้องเพลงและตัดสินใจแยกทางกับเพื่อนๆ วง Big Ass แด๊ก-เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด หยุดร้องเพลงเป็นเวลา 3 ปีเต็ม แล้วหันไปหาความท้าทายใหม่พร้อมนามสกุล Rock Rider ด้วยการทำรายการท่องเที่ยวในวิถีขี่มอเตอร์ไซค์ลุยไปตามทาง! ซึ่งเป็นอีกไลฟ์สไตล์ที่เขารักมากที่สุดในชีวิต
แต่ชีวิตลูกผู้ชายก็เป็นอย่างนี้แหละ เมื่อชีวิตคิดจะออกเดินทางครั้งใหม่ ลงท้ายกลับกลายเป็นว่า ‘เรื่องราว’ และมิตรภาพระหว่างทางนำพาให้เขาค้นพบความสนุกในการร้องเพลงอีกครั้ง
ล่าสุดแด๊กเริ่มต้นกลับคืนสู่เส้นทางดนตรีอย่างเต็มตัวภายใต้สังกัด Me Records เขาเปิดใจว่านี่เป็นการกลับมาที่ไม่ได้คาดหวังจะทวงบัลลังก์หรือพิสูจน์ตัวเองอย่างที่หลายคนเข้าใจ
เขาเพียงแค่กลับมาทำในสิ่งที่เคยรักด้วยความรู้สึกใหม่อย่างจริงใจและตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง
เมื่อเทียบกับสมัยก่อนในช่วงพีกที่สุดของชีวิตนักดนตรีกับตอนนี้ วันที่คุณกลับมาเริ่มต้นร้องเพลงอีกครั้งในช่วง 2-3 ปีหลัง มีความรู้สึกไหนบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด
ส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับสรีระนะ (หัวเราะ) ผมว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่พออายุมากขึ้น ความคิด แรงกระตุ้นหลายๆ อย่างจะช้าลง เคยนั่งดูวิดีโอบันทึกการแสดงสดที่เคยมี เฮ้ย ตอนวัยรุ่นเราขนาดนี้เลยเหรอวะ ตอนนี้อาจจะทำได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เรื่องความสดก็อาจจะหายไป แต่ความเก๋าก็เป็นไอเท็มพิเศษที่ได้มา
ในแง่การโชว์บนเวที มันคุ้มมากเลยนะที่ต้องแลกกัน เราไม่ต้องเคลื่อนไหวเยอะ ไม่ต้องโยกเยอะ แต่สื่อสารกับคนด้วยคำพูด ด้วยความคิดที่กรองจากประสบการณ์ได้มากขึ้น เราจะไม่พูดพร่ำเพรื่อ แต่ทุกอย่างคิดมาแล้วว่าคำพูดไหนเหมาะกับเพลงหรือสถานการณ์ตอนนั้น ตรงนี้มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ล้วนๆ
เรื่องความสนุกเวลาโชว์เปลี่ยนไปบ้างไหม
ต้องไปถามคนดู แต่เท่าที่เห็นฟีดแบ็ก ทุกคนก็มีความสุขกับสิ่งที่เขาเห็น เพราะตอนนี้แฟนเพลงที่โตมากับผมเขาไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่ต้องคิดว่าท็อปฟอร์มหรือเปล่า ดีกว่าในอดีต ดีกว่าตอนทำงานกับทีมเก่าหรือเปล่า เขามาเพราะต้องการดูความเป็นตัวตนของผม
แต่ถ้าความรู้สึกส่วนตัว ผมสนุกกว่าเดิมด้วยซ้ำ ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาผมทิ้งทุกอย่างไปเลย จนพี่หรั่ง (เทวฤทธิ์ ศรีสุข มือเบสวง Silly Fools และผู้ร่วมก่อตั้งทีม Rock Rider) ไปดึงกลับมา ก่อนหน้านั้นผมไม่มั่นใจในตัวเอง เหมือนทำลายวรยุทธ์ไปหมดแล้ว คิดว่าร้องเพลงไม่สนุก ไอ้สิ่งที่เคยทำแล้วสนุกตอนเด็กๆ วันนี้มันไม่ใช่ จากเดิมที่การร้องเพลงเป็นงานอดิเรกที่โคตรชอบ พอกลายเป็นอาชีพ เป็นความจริงจัง กลายเป็นรุ่นใหญ่หรืออะไรก็ตาม มันทำให้ผมจัดบาลานซ์ชีวิตไม่ได้เพราะมีเรื่องต้องแบกเต็มไปหมด แต่วันนี้ไม่มีอะไรต้องแบกอีกแล้ว
ตัวอย่างรายการ Rock Rider
จุดเริ่มต้นของความไม่สนุกในการร้องเพลงเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
เริ่มจากอายุที่เพิ่มขึ้น ต้องทำอะไรซ้ำๆ เยอะขึ้น เริ่มอยากมีชีวิตบางส่วนที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง เพราะอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่งานอดิเรกที่สนุกแล้ว แล้วพอทำงานกับเพื่อนๆ เรามีพื้นฐานที่ชอบเหมือนกันคือ ‘ดนตรี’ แต่มันมีรายละเอียดแตกแขนงยิบย่อยที่ไม่เหมือนกัน จนมันสะสมความคิดว่าอยากไปทำอะไรอย่างอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่ถึงกับเป็นทุกข์นะ มันเป็นอะไรที่ทำได้ในตอนนั้น อยู่บนเวทีก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้ แต่ถ้าให้เลือกร้องเพลงกับขี่มอเตอร์ไซค์ ขอเลือกไปขี่มอเตอร์ไซค์ดีกว่า (หัวเราะ) เพราะผมไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการร้องเพลงแล้ว จากวงกระจอกงอกง่อยเป็นอากาศธาตุ ไม่มีใครรู้จัก เริ่มเป็นวงอินดี้ เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ แฟนเพลงเยอะ ทำเป็นอาชีพ เก็บเงิน พออายุ 30 ต้นๆ ก็มีคำถามว่าแล้วยังไงต่อวะ ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ใครชวนไปทำอะไรก็ไม่ไป อยู่แต่ในโลกของตัวเอง รู้แค่ว่าตอนนั้นความสุขมันไปอยู่กับการทำโน่นทำนี่ก๊อกๆ แก๊กๆ ที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี เพราะฉะนั้นยืนยันว่าปัญหาทั้งหมดมันมาจากตัวผมเองล้วนๆ เป็นความรู้สึกว่าไม่ดุเดือด ไม่มีอะไรตื่นเต้นให้ทำอีกแล้ว
ถ้าอย่างนั้นอะไรคือความตื่นเต้นครั้งใหม่ที่ทำให้คุณตัดสินใจกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง
เริ่มจากพี่หรั่ง Silly Fools อยากทำรายการท่องเที่ยวด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ไปในที่ต่างๆ แล้วมาชวนผมไปทำด้วย สุดท้ายมันออกมาเป็นรายการ Rock Rider ซึ่งก็ทำด้วยความสนุก ตื่นเต้น เต็มที่กับการถ่ายรายการ ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลย
แต่ตอนนั้นเวลาไปที่ไหน บางครั้งพี่หรั่งกับวง Silly Fools เขามีเล่นคอนเสิร์ตอยู่บ้าง ผมก็ไปยืนรอเขาเฉยๆ มีคนมาบอกให้ขึ้นไปแจมก็ไม่เอา จนพี่หรั่งมาบอกว่า “มึงไม่ต้องคิดอะไร คิดว่าเอาเงินที่ได้ไปบริจาคให้เด็กๆ ที่เขาไม่มีรองเท้าใส่กันดีกว่า” เลยคิดว่าเข้าท่า จุดเริ่มต้นมาจากตรงนั้น
จำคอนเสิร์ตแรกที่กลับมาร้องเพลงอีกครั้งได้ไหม
จำได้ว่าเป็นที่ชะอำ มั่วฉิบหายเลย (หัวเราะ) วันนั้นตั๊ก (บริบูรณ์ จันทร์เรือง) แม่งนั่งรถตู้มาเพื่อดูผมเลยนะ (หัวเราะ) เพราะร้างเวทีไปนาน ยังไม่ค่อยเข้าที่หรอก เน้นฟีลลิ่งไปก่อน ความรู้สึกสนุกในการร้องเพลงที่เคยหายไปก็ค่อยๆ กลับมา แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ อยู่ 2-3 ปี ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ใหม่อีกครั้ง เรียกว่าพอจะเก็บเงินไปบริจาคได้หลายครั้ง สักพักแฟนเพลงก็ถามถึงงานใหม่ๆ มันเลยเริ่มจุดประกายขึ้นมา
มีคำพูดหรือเหตุการณ์ไหนบ้างที่จุดประกายตัวคุณได้จริงๆ
เยอะเลยครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นต่างจังหวัด ขี่รถขึ้นไปบนดอย ใส่หมวกไปซื้อของที่จังหวัดน่าน เด็กชาวเขาเห็นผมก็วิ่งไปเปิดเพลงแล้วเดินมาบอกว่า โห น่าเสียดาย พี่ไม่น่าเลิกเลย แล้วผมจะฟังอะไร หรือไปอู่ซ่อมรถแล้วเขาเปิดเพลงเก่าทั้งอัลบั้ม ไปเติมน้ำมันผมยังใส่ไอ้โม่งอยู่เลยนะ เห็นแค่ตา เด็กปั๊มบอกว่า ผมชอบพี่มากเลย เปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าๆ ให้ฟัง แล้วก็ถามอีกว่าเลิกทำไม ไม่ร้องเพลงแล้วเหรอ รวมทั้งพวกแฟนคลับรุ่นเก่าที่ยังคอยตามผมอยู่ ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงก็ตาม ทุกอย่างมันค่อยๆ สะสมมาเรื่อยๆ จนคิดว่าต้องกลับมาทำอะไรสักอย่างบ้างแล้ว หลังจากนั้นผมคุยกับพี่หรั่ง เริ่มต้นร้องเพลงใหม่ และกลายเป็นเพลง คนตายที่หายใจ ออกมา
เพลง คนตายที่หายใจ
คิดว่าจะมีวันที่คุณไม่สนุกแล้วหยุดร้องเพลงอีกครั้งไหม
เหมือนขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงโค้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัยแล้วครับ (หัวเราะ) คุยกับพี่หรั่งไว้เหมือนกัน เพราะ Silly Fools ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน เรื่องการต่อสู้ การล่มสลาย การฟันฝ่า เรียกว่าเจ็บมาทั้งคู่ (หัวเราะ) เป็นศาลาคนเศร้าที่อยู่ด้วยกัน อายุก็เยอะกันแล้ว ทุกคนรู้ว่าเหลืออีกแค่รอบเดียว ถ้าหยุดจากครั้งนี้ไปอีกคงไม่สามารถยืนได้แล้ว
เส้นชัยที่หมายถึงตอนนี้อยู่ตรงไหนเหรอ
รีไทร์อย่างเดียว รู้สึกว่าเรามาขึ้นมาสูงจนไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้ว ไม่ต้องไปต่อสู้อะไร ไม่ต้องไปบอกใครว่าเราเจ๋ง ถ้าทำได้ก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดไหนที่คิดว่าต้องรีไทร์ ตอนนั้นแหละคือเส้นชัยของผม ถ้าวันนั้นยังไม่มาถึง ผมก็จะทำต่อไป
ไม่ต้องพิสูจน์เหรอว่าคุณยังร้องเพลงได้อยู่ หลังจากเคยโดนโจมตีหนักเรื่องเสียงที่พังไปแล้ว
ไม่ต้องเปลี่ยนความคิดใคร อยู่ที่ความคิดเราล้วนๆ ต่อให้ผมร้องเพลงดี แต่ถ้าไม่มีความสุขมันก็เท่านั้น ตอนที่ร้องแย่ๆ ผมยังมีความสุขกว่าด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน บางวันร้องดีฉิบหาย บางวันมีอะไรมากระทบหน่อยก็แกว่งแล้ว (หัวเราะ) ไม่มีทางร้องได้เป๊ะตลอด แต่เป็นฟีลลิ่งที่สนุก แฮปปี้ แค่นี้โอเคแล้ว
ค้นพบอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือเปล่าจากการกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง
ค้นพบมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงที่หยุดร้องเพลงแล้ว ค้นพบว่าปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้ความหยาบกระด้างในจิตใจผมลดลงไปเยอะเลย ถ้าคนไม่รู้จักแล้วฟังแค่เพลงจะคิดว่าผมเป็นผู้ชายโรแมนติกมาก แต่คนใกล้ตัวจะรู้ว่าผมแม่งกระด้างมาก ในเพลงที่ร้องนี่เป็นคนที่เข้าใจทุกอย่าง แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น (หัวเราะ) แต่จากการล้มลุกคลุกคลาน การมีครอบครัว มีลูก ได้เจอเพื่อนเก่าๆ สมัยเรียน ได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนมีผลมากแค่ไหน แต่ที่รู้สึกได้แน่ๆ คือผมหยาบกระด้างน้อยลงเยอะ
เพลงในยุคหลังของคุณเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ คือไม่ได้เป็นผู้ชายที่เข้าใจทุกอย่างแบบตอนนั้นแล้ว
เกือบหมดเลยนะ (หัวเราะ) คนตายที่หายใจ, กลับตัวกลับใจ หรือ อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม จากประสบการณ์ทั้งหมดรู้สึกว่าเล่าแค่นี้ก็พอแล้ว ร้องแล้วอาจจะดูไม่หล่อ ไม่เท่ ไม่โรแมนติก แต่เวลานี้จะให้มาบอกว่า เธอไปเถอะ ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่กับตัวเอง ฉันทำได้อยู่แล้ว เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปหมดแล้วครับ เราเจอปัญหา เรารู้ว่าชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ เราไม่ต้องพยายามเข้มแข็งหรือทำความเข้าใจกับทุกอย่าง เราแค่ต้องนำเสนอความรู้สึกจริงๆ ออกมาแบบไม่ต้องอายแค่นั้นเอง
อย่างเพลงล่าสุด อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม มันก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจริงๆ หลังจากเราเคยไปเคว้งคว้างอยู่ในทะเลแห่งความรู้สึก แล้วก็ยังมีเพื่อน มีครอบครัว มีแฟนเพลงที่ยังอยู่กับผม สิ่งที่อยากพูดมันเลยมีแค่ เออ กูอยากขอบคุณพวกมึงว่ะ มึงแม่งคือคนที่อยู่กับกูจริงๆ มันไม่เท่ มันไม่เข้าใจแล้ว แถมฟูมฟายด้วย (หัวเราะ) ที่เห็นในมิวสิกวิดีโอ ตอนเห็นทุกคนมาร้องเพลงด้วยกันนี่มันไม่ไหวจริงๆ นะ แทบไม่ค่อยมีใครเห็นผมร้องไห้แบบนั้นหรอก แนะนำว่าอย่าดูมิวสิกวิดีโอนี้คนเดียวนะครับ บีบคั้นมาก ขนาดกลับมาดูทีหลังตอนนี้ยังจะซึมๆ อยู่เลย
เพลง อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม
- ช่วงที่แด๊กเริ่มเบื่อกับการร้องเพลง เขาหันไปหาความตื่นเต้นใหม่จากการขี่มอเตอร์ไซค์ ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เปิดตลาดนัด และทำร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์
- Rock Rider คือรายการท่องเที่ยวด้วยรถมอเตอร์ไซค์ภายใต้คอนเซปต์ ‘ปล่อยวาง… เปิดใจ… แล้วเดินทางไปกับเรา…’ ที่ทีม Rock Rider ของแด๊กและหรั่งเป็นผู้ผลิตด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ออกอากาศทางช่อง Speed Channel
- สำหรับใครที่จะจ้างงานแด๊กและวง Rock Rider ตอนนี้ เขาฝากบอกว่าไม่ต้องคิดว่าพวกเขาเป็นรุ่นใหญ่แล้วต้องเล่นเป็นวงปิดหรือวงท้ายๆ ให้พวกเขาเล่นเป็นวงแรกๆ ได้เลย เพราะอยากเอาเวลาที่เหลือไปสนุกกับบรรยากาศในงานมากกว่า