เกิดอะไรขึ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ 14 กันยายน เวลา 04.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของซาอุดีอาระเบีย เกิดเหตุโจมตีโรงงาน 2 แห่งของบริษัท Aramco ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของซาอุดีอาระเบียที่ แหล่งผลิตน้ำมัน Abqaiq และ Khurais ด้วยโดรนไม่ทราบฝ่าย จนเกิดเพลิงลุกไหม้ แต่ทางบริษัทสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ทั้งนี้ แหล่งน้ำมัน Abqaiq มีโรงงานแปรรูปน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่แหล่งน้ำมัน Khurais เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของซาอุฯ
ต่อมาวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนออกมาแถลงว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงผลิตน้ำมัน 2 แห่งของซาอุฯ ในครั้งนี้ โดยใช้โดรนทั้งสิ้น 10 ตัว อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ไม่เชื่อว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มกบฏฮูตี แต่กล่าวว่าเป็นฝีมือของอิหร่าน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาจากสหรัฐฯ แล้ว
ล่าสุดเช้านี้ (16 ก.ย.) เวลา 04.55 น. ตามเวลาไทย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความว่า “จากเหตุโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันที่ซาอุฯ อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน จึงได้สั่งให้ปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ เพื่อให้เพียงพอต่อการรักษาอุปทานน้ำมันโลกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม”
กระทบอย่างไร
เช้านี้ (16 ก.ย.) ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 61.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 12.1% ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 68.61 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 13.9% ก่อนที่ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent จะย่อลงมาอยู่ที่ 59.65 และ 66.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ หลังตลาดกังวลการหายไปของอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลก เนื่องจากเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของซาอุฯ ครั้งนี้ อาจส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุฯ ลดลงราว 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 5% ของอุปทานน้ำมันดิบโลก (เดิมซาอุฯ ผลิตน้ำมันได้ 9.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
ขณะที่เปิดตลาดหุ้นไทยเช้านี้พบว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นโดดเด่น และมีบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคักขานรับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรง นำโดย ESSO +5.1%, PTTEP +3.7%, BCP +3.7%, PTTGC +3.7%, TOP +1.4%, IRPC +1.0%
มุมมองระยะสั้น
SCBS มองราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงจากเหตุโดรนโจมตีแหล่งน้ำมันซาอุฯ ครั้งนี้ จะเป็นผลบวกโดยตรงระยะสั้นต่อหุ้นพลังงานอย่าง PTTEP เนื่องจากมีราคาขายราว 30% ของปริมาณขายของ PTTEP ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เหลว (น้ำมันดิบและคอนเดนเสท) มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน แต่ปริมาณขายส่วนที่เหลืออีก 70% (ก๊าซ) ยังคงมี Lag Time ในการปรับราคา เพื่อสะท้อนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ถ้าอุปทานหยุดชะงักอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มเช่นนี้จะส่งผลดีต่อบริษัทแม่อย่าง PTT เช่นกัน เพราะธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท
ขณะที่หุ้นโรงกลั่นอย่าง TOP, BCP, IRPC, PTTGC คาดค่าการกลั่นจะลดลงช่วงสั้น เพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันดิบที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี หากราคาน้ำมันดิบสามารถทรงตัวระดับสูงได้ต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ มีโอกาสที่หุ้นโรงกลั่นจะบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันใน 3Q19 ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อราคาหุ้นเช่นกัน
มุมมองระยะยาว
คงต้องติดตามว่า แหล่งผลิตน้ำมันของซาอุฯ ที่ถูกโจมตี จะกลับมาผลิตน้ำมันดิบตามปกติได้อย่างเร็วที่สุดเมื่อไร โดยหากใช้เวลานานหลายสัปดาห์จนทำให้เกิดปัญหาอุปทานตึงตัว หรือภาวะ Supply Shock ย่อมทำให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะเป็นผลดีต่อผลประกอบการและราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่ในทางกลับกัน อาจกดดันผลประกอบการหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ที่มีน้ำมันเป็นต้นทุนค่าใช้จ่าย อาทิ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล