เส้นทางอาชีพของเหล่าช่างแต่งหน้าทำผมที่มีชื่อเสียงโด่งดังในบ้านเรา ล้วนมีที่มาแตกต่าง บางคนมีต้นทุนพร้อมตั้งแต่ฐานะครอบครัว การเงิน และแวดวงสังคมที่ส่งเสริมอาชีพจนได้มีชื่อเสียง แต่สำหรับช่างแต่งหน้าฝีมือระดับประเทศอย่าง น้องฉัตร-ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ เขามีเส้นทางอาชีพที่น่าทึ่งและชวนให้ภาคภูมิใจอย่างมาก จากเด็กคนหนึ่งที่ตัดสินใจเข้าเรียนสายอาชีวะ เพราะอยากเรียนไปด้วยและรับงาน (แต่งหน้า) ที่ชอบไปด้วย ทำให้เขาทุ่มสุดตัวพยายามพัฒนาทักษะฝีมือตัวเองและเก็บเกี่ยวทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตอย่างเห็นคุณค่า จนวันนี้ขึ้นแท่นเป็นเมกอัพอาร์ทิสต์คิวทองที่ประสบความสำเร็จในอาชีพที่เขารัก
ปัจจุบันน้องฉัตรกลายเป็นช่างแต่งหน้าผู้มีค่าตัวแตะหลักแสน เขามีชื่อเสียงโด่งดัง มีสาวๆ รอคิวให้เธอแต่งหน้าให้เป็นจำนวนมาก และผลงานการแต่งหน้าก็เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ หนึ่งในกุญแจสำคัญของความสำเร็จในชีวิต น้องฉัตรบอกว่า “ประสบการณ์ที่ได้จากรั้วอาชีวะคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต” เลยทีเดียว และนี่คือเส้นทางชีวิตของน้องฉัตรที่ THE STANDARD อยากนำพาทุกคนไปรู้จักที่มาของความสำเร็จในวิชาชีพของเขาไปพร้อมๆ กัน
“ย้อนกลับไปในช่วงที่น้องฉัตรกำลังจะเรียนจบ ม.3 (จากโรงเรียนสรรพาวุธวิทยา) ก็เป็นช่วงหนึ่งที่ต้องตัดสินใจไปคุยกับแม่ว่า เราจะเรียนต่อสายสามัญดีไหม หรือว่าเราจะเลือกเรียนสายอาชีวะ เพราะตอนนั้นน้องฉัตรรู้แล้วว่าความฝันของตัวเองคืออยากเป็นช่างแต่งหน้า-ทำผม เลยคิดหนักว่าจะเลือกเรียนสายอาชีวะไปเลยจะโอเคไหม ตอนนั้นก็ได้ปรึกษาคุณแม่และได้ปรึกษาอาจารย์แนะแนว เพื่อมาประกอบการตัดสินใจ ถือว่าเป็นช่วงที่ลำบากใจมากเหมือนกัน เพราะถ้าเราเลือกเรียนต่อ ม.4-ม.6 ไปเลย เราก็จะไม่มีเวลาในการทำงาน หรือฝึกงานในทางที่เราชอบ ดังนั้น จึงเลือกเรียนที่วิทยาลัยพณิชยการบางนา ซึ่งเป็นสายอาชีวะ ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราในตอนนั้น
เมื่อตัดสินใจก้าวเข้าสู่รั้วอาชีวะที่วิทยาลัยพณิชยการบางนา ด้วยหัวใจที่แน่วแน่ในการมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือตัวเอง เพื่อให้ก้าวเข้าใกล้ความฝันในการเป็นช่างแต่งหน้า นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น้องฉัตรได้เปิดโลกใบใหม่ และเริ่มค้นพบความสนใจของตัวเองอย่างชัดเจนขึ้น
“ตอนที่เข้าไปเรียนอาชีวะปีแรก หลักสูตรที่เขาให้เรียนจะกว้างมาก เพราะเขาให้เราได้ลองเรียนหมดทุกคณะ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ บัญชี เลขานุการ หรือว่าการขาย พอได้เรียนครบทุกอย่างในปีแรกแล้ว ก็ค้นพบเลยว่า สิ่งที่เหมาะกับเรา และเราชอบด้วยก็คือ วิชาชีพการขาย พอขึ้น ปวช. ปี 2 เราจะได้เลือกเองแล้วว่าเราอยากจะพัฒนาตัวเอง อยากจะเก่งด้านไหน ก็ได้เลือกเรียนในสายที่ชอบ เพื่อต่อยอดความรู้และฝึกพัฒนาตัวเองต่อไป ซึ่งการขายนี่แหละที่ตอบโจทย์และตรงกับความชอบของตัวเองที่สุด น้องฉัตรคิดว่า วิชาการขายน่าจะได้นำมาใช้จริงกับอาชีพที่เราอยากจะเป็นได้ด้วย
“สิ่งที่น้องฉัตรคิดว่าเป็นประโยชน์มากในการเรียนสายอาชีวะคือ เราได้ฝึกประสบการณ์จริง อย่างเช่น วิชาการขาย จะมีการให้จัดดิสเพลย์ต่างๆ เราต้องวางแผน คิดกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ พอเราย้อนกลับไปมองช่วงเวลาที่ได้เรียนแบบนั้นก็พบว่า เป็นประโยชน์มากต่ออาชีพของเรา เพราะฉัตรเป็นคนที่มีเป้าหมายให้ตัวเองตั้งแต่แรกว่า อยากเป็นช่างแต่งหน้าที่มากกว่าช่างแต่งหน้า หมายความว่า วันหนึ่งเราก็อยากเป็นนักธุรกิจด้วย ก็เลยรู้สึกว่า การที่เราเลือกเรียนวิชาชีพการขาย มันตอบโจทย์ชีวิตและเป้าหมายในอาชีพของเรามาก
ชีวิตในรั้วอาชีวะดำเนินไปตามกาลเวลา ขณะที่ชั่วโมงบินในการฝึกประสบการณ์ต่างๆ ในการเรียนรู้ก็เพิ่มมากขึ้น ในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาที่จะได้ออกไปเผชิญกับโลกที่กว้างกว่าเดิม เมื่อน้องฉัตรต้องเลือกไปฝึกงานตามความสนใจ และงาน BA (Beauty Advisor พนักงานแนะนำความงาม) คืองานที่น้องฉัตรให้ความสนใจที่สุดตอนนั้น
“ช่วงที่ได้ไปฝึกงานก็เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่สนุกมาก ตอนนั้นเพื่อนๆ ของน้องฉัตรก็เลือกฝึกงานตามที่ตัวเองถนัด แต่ตัวของน้องฉัตรเอง ด้วยความที่เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าชอบอะไร อยากเป็นอะไร เลยขออาจารย์ไปฝึกงานที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอาง โชคดีที่อาจารย์เปิดกว้างให้เราเลือกสถานที่ฝึกงานตามที่เราต้องการ น้องฉัตรเลยเลือกไปฝึกงานที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางชื่อดังแบรนด์หนึ่ง
“ฉัตรก็ได้ใช้ความรู้และประสบการณ์จากการเรียนด้านการขายมาใช้ในตอนฝึกงาน หน้าที่เราตอนนั้นคือเป็น BA ขายเครื่องสำอาง ทำให้รู้สึกสนุกและได้ทำงานจริงๆ ซึ่งตัวน้องฉัตรเองก็ได้เก็บเกี่ยวความรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ทำงานจริงๆ ในช่วงที่ฝึกงาน เป็นการพัฒนาความสามารถในการทำงานที่มีประโยชน์มาก ทุกวันนี้น้องฉัตรยังคิดเลยว่า ถ้าเราไม่ได้ไปฝึกงานมาก่อน พอเราเรียนจบแล้วไปทำงานเลยโดยที่ไม่มีประสบการณ์ หากเกิดความผิดพลาดขึ้น เราอาจไม่ได้รับการให้อภัยเหมือนตอนที่เราเป็นเด็กฝึกงาน ซึ่งความผิดพลาดต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นครูที่สอนให้เราไม่ทำผิดอีกตอนที่เราทำงานในชีวิตจริง
“การที่ความฝันของน้องฉัตรเริ่มต้นเร็วและทำให้มีเป้าหมายเร็ว มันเริ่มมาจากตอนที่น้องฉัตรเป็นเด็ก เท่าที่จำความได้ น้องฉัตรชอบการแต่งหน้ามาตั้งแต่เด็กๆ จะชื่นชอบมากๆ ในเรื่องความสวยความงาม เวลาเห็นคุณน้าใส่ชุดเดรสก็จะชอบมาก เห็นผู้หญิงผมยาวก็จะชอบมาก บางทีไปรับจ้างพี่สาวกับป้าทำความสะอาดบ้าน ก็จะมีนิตยสารที่เขาวางไว้ เราก็จะชอบไปเปิดดูภาพนางแบบที่เขาแต่งหน้าทำผมสวยๆ รู้สึกว่า เราอยากแต่งหน้าให้ได้แบบที่เห็นในนิตยสาร จากความชอบวัยเด็ก พอผันตัวมาเรียนสายอาชีวะ ก็เริ่มได้ลองแต่งหน้าให้เพื่อนๆ ซึ่งหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่เพื่อนๆ มอบหมายให้ฉัตรดูแลหน้าผมให้เพื่อนๆ ตอนที่ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมสมาร์ทเกิร์ลที่นักศึกษาต้องแต่งตัวสวยๆ เป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ในการดูแลต้อนรับผู้ใหญ่ น้องฉัตรก็จะแต่งหน้าทำผมให้กับเพื่อนๆ มาโดยตลอด
“เครื่องสำอางที่น้องฉัตรใช้สมัยก่อนก็จะไม่ได้ใช้ราคาแพงมากมาย ทุกคนไม่ว่าสีผิวไหน ก็จะใช้แป้งเบอร์เดียวกันหมด ไม่ว่าจะขาว จะแทน หรือจะผิวสี ก็จะทาแป้งเบอร์ 2 ให้เพื่อนๆ เพราะเป็นเบอร์กลางที่สุดแล้ว (หัวเราะ) แต่งตาสีเดียว ทาปากสีเดียวกัน ทุกคนก็จะมีลุคการแต่งหน้าในแพตเทิร์นเดียวกัน แต่ว่าตอนนั้นก็ถือเป็นการฝึกงานไปในตัว เพราะฉัตรเรียนการขายเป็นหลัก ก็มีโอกาสได้ทำโปรเจกต์พิเศษต่างๆ เช่น เปิดเป็นเหมือนร้านเสริมสวยเล็กๆ ในวิทยาลัย มันคือการฝึกงานเชิงธุรกิจเลย ซึ่งอาจารย์จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาทุกคนได้ออกแบบทำธุรกิจที่ตัวเองอยากทำ บางคนก็ขายทอดมัน บางคนขายกาแฟ ส่วนตัวน้องฉัตรเปิดเป็นร้านเสริมสวย เวลาเรียนเสร็จก็จะมีคาบกิจกรรม เราก็ใช้ช่วงเวลานี้แหละมารับจ้างแต่งหน้าทำผม ซึ่งก็ได้รายได้จากการทำร้านเสริมสวยนี้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ด้วย ซึ่งการทำกิจกรรมนี้จะมีการประเมินผลด้วยว่า ธุรกิจที่เราคิดและลงมือทำผ่านหรือเปล่า
“จากประสบการณ์ในการเรียนสายอาชีวะ ถ้าเป็นความรู้สึกของคนนอกที่มองเข้ามา หลายคนอาจคิดว่า อาชีวะคือการยกพวกตีกัน (หัวเราะ) แล้วแม่ของน้องฉัตรก็จะเคยกลัวว่าลูกฉันจะโดนทำร้ายหรือเปล่า ซึ่งก็เป็นแค่ความคิดที่กังวลในตอนแรกเท่านั้น แต่พอเราได้เข้ามาเรียนจริงๆ แล้ว อยากบอกว่า การที่เด็กจะมาตีกันมันไม่ใช่ว่าใครนึกจะทำก็ทำ รั้วอาชีวะเป็นสถาบันที่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครๆ คิด จากประสบการณ์ตรงของน้องฉัตรเอง รั้วอาชีวะเป็นที่ที่ทำให้เราได้เจอกับเพื่อนๆ ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มันดีตรงที่เราได้เรียนรู้ในเรื่องของการได้ทำงานจริงๆ
แม้จะต้องเรียนไปด้วย แต่ในขณะที่เรียนหนังสือ น้องฉัตรก็ไม่ทิ้งเรื่องการพัฒนาฝีมือการแต่งหน้าของตัวเองให้มีความเชี่ยวชาญและเก่งขึ้น เขาจึงเริ่มต้นรับจ้างแต่งหน้าตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่ ลูกค้ากลุ่มแรกๆ ก็คือเพื่อนๆ ด้วยกันเอง
“ช่วงที่รับงานจริงๆ จังๆ น่าจะเป็นช่วงเริ่มเรียน ปวช. ปี 1 จนเรียนจบ ปวส. เลย ตอนแรกฉัตรก็คิดว่า เราเรียนจบ ปวช. แล้ว หรือว่าเราจะไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยดี ตอนนั้นพอเรียนจบการขาย ก็ไปเรียนการตลาดต่อ เพราะคิดว่าไหนๆ ก็เรียนจบที่นี่แล้ว ก็เรียนต่ออีกสัก 2 ปี ไปเรียนการตลาด ระบบการสอนที่พอมีเวลาว่าง ทำให้น้องฉัตรสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ พอเลิกเรียน น้องฉัตรก็จะหิ้วกระเป๋าแต่งหน้าไปแต่งหน้าทำผมให้ลูกค้า ฉัตรทำแบบนี้มาตั้งแต่เรียนปี 1 จนจบ ปวส. เลย
“หลังจากเรียนจบก็ไปต่อมหาวิทยาลัยได้ต่อ อยากบอกว่า รายได้ช่วงทำอาชีพแต่งหน้าเริ่มหลัก 10 บาท ก็มี จำได้เลยว่า เคยแต่งฟรีก็มี เคยมีแต่งเชียร์ลีดเดอร์ในวิทยาลัย 20 หัว ราคาเหมา 500 บาท ราคานี้รวมแต่งหน้าทำผมแล้วนะ คือน้องฉัตรน่ะผ่านมาหมดแล้ว เป็นคนที่ทำมาหลายอย่าง พอเรามีประสบการณ์มากขึ้น ราคารับงานก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ของเรา มันคือมูลค่าประสบการณ์ของเรา แรงบันดาลใจการพัฒนาฝีมือการแต่งหน้าของตัวเองมาจากการดูงานแฟชั่นและนิตยสารต่างๆ รวมถึงติดตามผลงานที่เป็นไอดอลอย่าง พี่ต้อ-ชรภาส โอภาสพันธ์ หรือ พี่โอ-ศิระ กุลเศรษฐศิริ ช่างแต่งหน้าชื่อดังที่ฉัตรนับถือในผลงาน รวมถึงช่างแต่งหน้าเมืองนอกที่ดังๆ น้องฉัตรก็จะติดตามผลงานของเขา บางเทคนิคที่เราเห็นว่าดี เราก็เอามาปรับใช้ในการพัฒนาฝีมือของเราเอง
ในฐานะที่น้องฉัตรเป็นผู้มีประสบการณ์ตรงในการเรียนสายอาชีวะ พอเขารู้ว่ามีโครงการ ‘อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ’ ที่ก่อตั้งขึ้นโดยมูลนิธิเอสซีจี ทำให้เขารู้สึกดีใจและเห็นประโยชน์ของโครงการนี้เป็นอย่างมาก
“น้องฉัตรรับรู้เกี่ยวกับโครงการ ‘อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ’ ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิเอสซีจี ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างบุคลากรของสังคม โดยให้การสนับสนุนทุนการศึกษา ผลักดันให้น้องๆ ที่เรียนสายอาชีวะได้มีจุดยืนของตัวเองและได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ได้ต่อยอดเรียนรู้และฝึกประสบการณ์ในทางที่ถนัดและสนใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องทุนการศึกษา น้องฉัตรมองว่า นี่เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะลองคิดดูว่า สำหรับบางคนถ้าเรียนดีแต่ไม่มีทุนก็น่าเสียดายโอกาสที่จะได้พัฒนาวิชาชีพที่ตัวเองสนใจ พอฉัตรรู้ข่าวว่าทางมูลนิธิเอสซีจีเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาสายอาชีวะ เพื่อพัฒนาให้เด็กๆ อาชีวะได้พัฒนาฝีมือ เป็นคนเก่งและดี ซึ่งฉัตรมองว่า เป็นเรื่องดีมากๆ ที่เด็กไทยจะได้ฝึกฝนตัวเองจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายวิชาชีพที่ตัวเองสนใจ ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคน โดยมุ่งมาที่เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติของเราให้ก้าวไกลไม่แพ้ประเทศอื่นๆ ในโลก
สำหรับน้องฉัตร การได้รับโอกาสเป็นสิ่งสำคัญและสามารถเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งได้เลย เหมือนที่ครั้งหนึ่งน้องฉัตรเองก็เคยมีจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญตอนเลือกเรียนสายอาชีวะ และเคยเป็นคนหนึ่งที่ได้รับทุนการศึกษาเช่นกัน
“น้องฉัตรเองก็เป็นคนคนหนึ่งที่ไม่ได้เติบโตมาในบ้านที่ร่ำรวย ไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย และตอนเรียนหนังสือก็เคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่ได้รับทุนการศึกษาแนวนี้เหมือนกัน ยอมรับว่ามันเป็นโอกาสที่มีคุณค่าต่อชีวิตของเด็กคนหนึ่งมากเลยนะ เพราะบางคนอาจจะพลาดโอกาสในการเรียนหนังสือต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้มาต่อยอดความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของตัวเอง เพราะขาดปัจจัยเรื่องทุนการศึกษา ดังนั้น ฉัตรจึงสามารถพูดได้ว่า หากเด็กๆ ที่ขาดโอกาสจะได้รับโอกาสดีๆ ที่องค์กรหรือมูลนิธิยื่นมือเข้ามาช่วย มันก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของเด็กคนหนึ่งได้เลยเหมือนกัน
“การตัดสินใจมาเรียนสายอาชีวะก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเลย เพราะว่าถ้าฉัตรไม่เลือกเรียนทางนี้ ฉัตรก็อาจจะไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เพราะช่วงที่ฉัตรเรียนจบ ม.3 ก็ไม่ได้มีเงินทุนมากมายที่จะไปเรียนหนังสือ ดังนั้น ที่เลือกเรียนอาชีวะ นอกจากความชอบที่อยากจะฝึกฝนและพัฒนาสายวิชาชีพและเดินตามความฝันที่อยากจะเป็นช่างแต่งหน้าแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญตอนนั้นคือ ค่าเทอมไม่ได้แพงมาก เรารู้สึกว่า อย่างน้อยเราก็ยังได้ทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย ซึ่งการสร้างรายได้ระหว่างที่เรียนไปด้วยเนี่ย ฉัตรก็เก็บมาจ่ายเป็นค่าเทอมของตัวเองได้อีก และโชคดีมากๆ ที่บรรยากาศการเรียนที่วิทยาลัย ฉัตรได้เจอกับเพื่อนๆ ที่ดี จนวันหนึ่งที่ฉัตรเรียนจบมา และมีอาชีพเป็นช่างแต่งหน้าอย่างที่ตัวเองฝันจริงๆ วันนี้เพื่อนๆ เหล่านั้นที่เรารู้จักตั้งแต่เรียนอยู่อาชีวะด้วยกันก็ยังเป็นกำลังเสริมสำคัญ ณ ตอนนี้ของเรา ทุกคนก็ได้กลับมาช่วยเหลือเกื้อกูลเรา เป็นอีกหนึ่งแรงใจในการขับเคลื่อนหน้าที่การงานของเราในปัจจุบัน ทุกวันนี้จะมีคนรอบข้างของฉัตร อย่างพี่ๆ ที่เป็นทีมสื่อ ทีมผู้ช่วยช่างแต่งหน้า หรือตัวผู้จัดการน้องฉัตรเองก็คือเด็กอาชีวะหมดเลย
การที่ฉัตรประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ถามว่าเร็วไหม ฉัตรอยากบอกว่า มันเป็นไปตามกาลเวลานะ คนอาจจะมองว่า ฉัตรประสบความสำเร็จเร็ว โดยมองจากอายุยังน้อย แต่ตัวฉัตรเอง เรารู้ตัวว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ เราต้องผ่านอะไรมาบ้าง เราไม่ใช่เพิ่งเริ่มเดินตามความฝันตอนโต แต่เรารู้ตัวเองตั้งแต่เด็ก และเริ่มต้นทำงานเร็วตั้งแต่อายุ 13 ปี ดังนั้น การที่คนคนหนึ่งที่ทำงานมาตั้งแต่อายุ 13 ปี จะประสบความสำเร็จตอนอายุ 31 ปี มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เร็ว แต่เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เพราะระยะเวลาที่เราฝ่าฟันทำงานมาก็สิบกว่าปี
“ฉัตรอยากบอกน้องๆ ว่า ควรจะรู้จักตัวเองให้เร็วว่าฝันอะไร อยากเป็นอะไร เราจะได้มีเป้าหมายในการเดินตามความฝันและพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปสู่จุดที่ประสบความสำเร็จให้ได้”
ล่าสุดฉัตรได้มีโอกาสดูหนังสั้นเรื่อง ชงด้วยเลิฟ เสิร์ฟด้วยรัก หนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียนอาชีวะของมูลนิธิเอสซีจี
“ตอนที่ฉัตรดูหนังสั้นจบ ฉัตรคิดว่า นี่เป็นหนังสั้นที่สื่อความหมายออกมาได้ดีมากๆ และเป็นหนังสั้นที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน โดยเฉพาะน้องๆ ที่เรียนอาชีวะ อย่างที่บอกว่า ยิ่งรักยิ่งต้องพยายาม นี่เป็นเรื่องจริงเลย เพราะบางคนอาจจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนบางครั้งรู้สึกท้อหรือหมดกำลังใจ อย่างตัวน้องฉัตรเอง ตอนที่ดูคลิปหนังสั้นก็รู้สึกว่า มันสะท้อนถึงชีวิตของตัวเองเหมือนกัน เพราะการที่เรามีวันนี้มันไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เราต้องอาศัยความพยายามและการฝึกฝนพัฒนาตัวเองมาอย่างหนักจริงๆ น้องฉัตรมองว่า โอกาสต่างๆ ในชีวิตคนเรามันเข้ามาเมื่อไร เราไม่รู้ตัวหรอก แต่ถ้าเกิดเราเตรียมพร้อมที่จะรอรับโอกาสนั้นด้วยการฝึกฝนตัวเองและมีความพยายาม วันหนึ่งที่โอกาสผ่านเข้ามาหาเรา เราจะได้ไม่พลาด และพร้อมที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ แต่ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีความพยายามและไม่เตรียมพร้อมมากพอ เราอาจจะพลาดโอกาสดีๆ ที่ผ่านเข้ามาไปอย่างน่าเสียดาย น้องฉัตรก็อยากบอกน้องๆ ทุกคนที่อยากจะหาแรงบันดาลใจ ก็ดูจากหนังสั้นเรื่องนี้ก็ได้ น่าจะช่วยให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ที่มีความฝัน อยากเดินตามความฝัน และทำมันออกมาให้สำเร็จ เป็นกำลังใจให้ทุกคน”