- ข้อมูลเผย นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม มีผู้บริหาร 239 รายจากบริษัทจดทะเบียน 77 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ขายหุ้นที่ถือครองอยู่ออกมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยอันดับ 1 เป็นของ ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ผู้บริหาร Plan B Media ขายหุ้นออกมูลค่ารวม 2,824 ล้านบาท โดยหากรวมผู้บริหาร Plan B Media อีก 2 คน ประกอบไปด้วย พินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ และเจย์ เจฟฟรีย์ วอชเชอร์ ที่ขายหุ้นออกมูลค่า 1,256.04 และ 10.4 ล้านบาทตามลำดับ จะส่งผลให้มียอดขายหุ้นรวมสูงที่สุดถึง 4,091.39 ล้านบาท คิดเป็น 16.46% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด ขณะที่บริษัทลำดับที่ 2 คือบริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) ที่มี วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานกรรมการ ขายหุ้นออกมูลค่า 1,843.2 ล้านบาท ส่วนลำดับที่ 3 คือบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่ง กิตติ ธนากิจอำนวย อดีตประธานกรรมการ ขายหุ้นออกมูลค่ากว่า 1,833.81 ล้านบาท โดยการขายทั้งหมดนี้มีทั้งเพื่อปรับโครงสร้างการถือครอง เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง (Free Float) และเป็นการขายหลังจากการลาออกของผู้บริหาร
- ส่งออกไทยหดตัวน้อยลง แต่หดตัวทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยมูลค่าการส่งออกไทยเดือนมิถุนายน หดตัว 2.15% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 6.2% ทั้งนี้การส่งออกไทยมีทิศทางสอดคล้องกับการค้าโลกที่ยังชะลอตัวนับตั้งแต่ปลายปี 2561 สืบเนื่องจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยตัวเลขในเดือนมิถุนายน สินค้าส่งออก 10 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ -0.2%, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ -15.5%, ผลิตภัณฑ์ยาง -9.2%, พลาสติก -17.6%, เคมีภัณฑ์ -28.2%, น้ำมันสำเร็จรูป -19.4%, แผงวงจรไฟฟ้า -20.6%, เครื่องจักรกล -14.4% ขณะที่กลุ่มอัญมณี เครื่องประดับ และทองคำ ขยายตัว +11.1% และ 317.4% ตามลำดับ
.
- สหรัฐฯ ผ่านร่างความตกลงขยายเพดานหนี้ โดยวานนี้ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของรีพับลิกันในวุฒิสภา ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้และการเกิดภาวะ Government Shutdown โดยข้อตกลงใหม่มีการขยายเพดานหนี้ถึง 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับขยายงบประมาณเพิ่มเติมอีก 320,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แลกกับการลดรายจ่ายด้านอื่นๆ ลง 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยขั้นตอนต่อไปคือการลงนามรับรองโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะยอมเซ็นหรือไม่ เพราะเขาเคยเสนอลดค่าใช้จ่ายไว้ที่ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบกับกลุ่มนักการเมืองรีพับลิกันสายอนุรักษนิยมมองว่าการขยายเพดานหนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น จึงต้องการให้มีการออกกฎหมายว่าด้วยระดับเพดานหนี้มากกว่า
- จับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Coca-Cola บริษัทน้ำดำยักษ์ใหญ่ของโลกมีกำหนดจะประกาศผลประกอบการในวันนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่ารายได้จะขยายตัว 8.4% ด้วยกำไรต่อหุ้นที่ 0.62 เหรียญสหรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับการปรับประมาณการราคาขึ้นสู่ระดับ 54 เหรียญสหรัฐ จากราคาปัจจุบันที่ 51.25 เหรียญสหรัฐ Upside 5.36% ขณะที่ Kimberly-Clark ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคอีกรายมีกำหนดจะประกาศผลประกอบการวันนี้เช่นกัน โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้อาจหดตัว -0.3% ด้วยกำไรต่อหุ้นที่ 1.64 เหรียญสหรัฐ สวนทางกับการปรับเป้าหมายราคาที่ 145 เหรียญสหรัฐ จากราคาปัจจุบันที่ 134.26 เหรียญสหรัฐ Upside 8% ทั้งนี้การประกาศผลประกอบการในช่วงนี้จะมีผลอย่างยิ่งต่อเซนทิเมนต์ของตลาดและความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
- เริ่มเจรจาเทรดวอร์อีกครั้งท่ามกลางสถานการณ์คุกรุ่น โดย South China Morning Post รายงานว่า สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และโรเบิร์ต ไลต์ทิเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เตรียมออกเดินทางไปกรุงปักกิ่งเพื่อเริ่มเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับจีนอีกครั้ง หลังสองฝ่ายตกลงพักรบในที่ประชุมซัมมิต G20 ที่นครโอซาก้า อย่างไรก็ตาม ทางการจีนระบุว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ทำลายข้อตกลงทางการค้าที่องค์การการค้าโลกได้กำหนดไว้ ขณะที่สหรัฐฯ ยังมีการขู่ขยายกำแพงภาษีกับสินค้าครอบคลุมมูลค่ากว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
สภาวะตลาดวานนี้
- ตลาดหุ้นยังไร้ทิศทางชัดเจน นักลงทุนรอปัจจัยชี้นำสำคัญ โดยตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงตามแนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ส่วนตลาดหุ้นที่ปรับตัวปิดบวกสวนทางตลาดเอเชียโดยรวม ได้แก่ ตลาดหุ้นไต้หวัน ซึ่งได้ปัจจัยบวกหลังกลุ่มผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำออกมาให้มุมมองต่อตลาดว่าพวกเขาเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มสมาร์ทโฟน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และทองคำ เคลื่อนไหวในลักษณะผสมผสาน โดยนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั้ง Fed และ ECB ในช่วงปลายเดือนนี้
ยุโรป
- STOXX600 ปิดที่ 387.74 เพิ่มขึ้น 0.49 (+0.13%)
- DAX ปิดที่ 12,289.40 เพิ่มขึ้น 29.33 (+0.24%)
- FTSE 100 ปิดที่ 7,514.93 เพิ่มขึ้น 6.23 (+0.08%)
- FTSE MIB ปิดที่ 21,735.70 เพิ่มขึ้น 94.24 (+0.44%)
เอเชีย
- S&P/ASX 200 ปิดที่ 6,691.20 ลดลง 9.10 (-0.14%)
- KOSPI ปิดที่ 2,093.34 ลดลง 1.02 (-0.05%)
- Shanghai ปิดที่ 2,924.20 เพิ่มขึ้น 23.02 (+0.79%)
- Hang Seng ปิดที่ 28,371.26 ลดลง 394.14 (-1.37%)
- BSE Sensex ปิดที่ 38,031.13 ลดลง 305.88 (-0.80%)
- Nikkei ปิดที่ 21,416.79 ลดลง 50.20 (-0.23%)
- SET ปิดที่ 1,727.58 ลดลง 7.52 (-0.43%)
อเมริกา
- DOW30 ปิดที่ 27,171.90 เพิ่มขึ้น 17.70 (+0.07%)
- S&P500 ปิดที่ 2,985.20 เพิ่มขึ้น 8.59 (+0.29%)
- NASDAQ ปิดที่ 8,204.14 เพิ่มขึ้น 57.65 (+0.71%)
Commodities
- ราคาน้ำมัน WTI ปิดที่ 56.33 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.70 (+1.26%)
- ราคาน้ำมัน BRENT ปิดที่ 63.39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.92 (+1.47%)
- ราคาทองคำ COMEX ปิดที่ 1,425.75 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ลดลง 0.95 (-0.07%)
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: Infoquest, Bloomberg, Investing, EFinanceThai