นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบ ขณะนักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่มีข่าวคืบหน้า บวกกับกระแสความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สืบเนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในอิหร่าน นอกจากนี้ยังรอดูศาลพิจารณารับคำร้องกรณี ส.ส. ถือหุ้นสื่อ
ตัวแปรในต่างประเทศยังคงมีน้ำหนักในทางลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่า ผลการพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที G20 จะออกมาในทางใด
ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงกดดันอิหร่าน จากกรณีที่ยิงโดรนของสหรัฐฯ ตกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ขณะนี้จะยังไม่มีผลต่ออุปทานน้ำมัน แต่หากราคาน้ำมันขยับขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ ซึ่งสองปัจจัยนี้มีผลให้นักลงทุน (ในตลาดโลก) ชะลอการลงทุน
การที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่ฟังธงว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหรือไม่ ทำให้โอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในเดือนกรกฎาคมลดลง และอาจลด Flow ในตลาดโลกลง
แต่นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ KTBST มองว่าตลาดไทยดีกว่าอีกหลายประเทศตรงที่เงินบาทแข็งค่า (เช้านี้ 30.7 บาท แข็งค่าขึ้น 1.0 บาท จากปลายไตรมาส 1) เราจึงเห็นเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ KTBST ประเมินว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยต่อเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี และปัญหาเทรดวอร์เรื้อรัง โดยอย่างเร็วคือลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้
ส่วนการเมืองวันนี้ ให้จับตาศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าจะรับคำร้องกรณีตรวจสอบคุณสมบัติ 41 ส.ส. ปมถือหุ้นสื่อ โดยในช่วงบ่าย ข่าวนี้จะมีผลต่อการตั้ง ครม. หากถูกพบว่า ส.ส. ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีรายใดมีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในมุมมองของ KTBST นั้น ด้วยตลาดมีการพักตัว และรอสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ดังนั้นนักลงทุนจึงมีโอกาสเข้าซื้อ-ขาย หากมีข่าวสำคัญในเรื่องนี้เข้ามา แม้จะมองว่ามีเงินไหลเข้าตลาดไทย แต่ยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า และกองทุน (REIT, Property Fund, Infra Fund) หรือหุ้นที่อิงปัจจัยเฉพาะตัว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- บริษัทหลักทรัพย์ KTBST