วันนี้ (5 มิ.ย.) ในระหว่างที่การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่ในช่วงที่เปิดให้สมาชิกอภิปรายคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีทั้งสองคนคือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐ และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตจากพรรคอนาคตใหม่ โดยไม่มีการเปิดให้แสดงวิสัยทัศน์ในสภา
พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แจ้งว่าพรรคอนาคตใหม่ขอถอนญัตติให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ เพราะเห็นว่าการลงมติต้องเสียเวลาถึง 2-3 ชั่วโมง และผลการโหวตก็คาดเดาได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจถอนญัตติเพื่อให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเดินหน้าต่อไปได้
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จึงใช้พื้นที่นอกสภาแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าสื่อมวลชน แม้จะยังถูกศาลรัฐธรรมนูญให้ยุติการทำหน้าที่ ส.ส. อยู่ในขณะนี้ โดยประกาศกร้าวอย่างหนักแน่นว่าพร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริง และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย ทั้งยังประกาศเรื่องที่ต้องการปรับปรุง 2 เรื่องหลักๆ หากได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย ดังนี้
1. เรื่องเศรษฐกิจไทย ซึ่งธนาธรได้ยกประเด็นของเศรษฐกิจประเทศไทยที่ย้ำว่าเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พร้อมยืนยันว่าวิกฤตที่เกิดในตอนนี้เกิดจากความไม่เข้าใจปัญหาอย่างชัดเจนของผู้นำคนปัจจุบัน
“นอกจากเราจะเข้าใจปัญหาของความเป็นจริงในสังคมไทยแล้ว เรายังต้องเข้าใจปัญหาของสังคมโลกด้วย เพราะสงครามการค้าระดับโลกกำลังส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ดังนั้นผู้นำที่จะนำประเทศไทยไปข้างหน้าจำเป็นต้องรู้เท่าทันยุคสมัย เข้าใจสังคมไทย และเข้าใจสังคมโลก เพื่อที่จะวางตำแหน่งแผนที่ของประเทศให้เหมาะสมกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้”
2. เรื่องความเท่าเทียม หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ให้เหตุผลว่าเพราะความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้ดีที่สุด การขจัดความเหลื่อมล้ำไม่ใช่การขจัดแค่เรื่องของตัวเลข แต่ต้องยืนหยัดในสิทธิของประชาชนทุกคนอย่างทั่วหน้า
“ทุกท่านลองคิดตามผมว่ามันจะดีสักแค่ไหน ถ้าคนรุ่นพวกเราสามารถส่งต่อประเทศไทยให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียม ทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย และไม่มีรัฐประหารอีกในอนาคต”
นอกจากนี้ธนาธรได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ท้ายที่สุดและสำคัญที่สุด ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้า นี่เป็นภารกิจแห่งชีวิตของผมและของผู้แทนราษฎรทุกคนที่มีความใฝ่ฝันร่วมกัน หากมองชีวิตของผมผ่านการพัฒนาประเทศ ความเจ็บปวดของเราคนไทยก็คงไม่ต่างกัน พ่อกับแม่ของผมเกิดในยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงคราม ผู้คนปากกัดตีนถีบ ไม่มีใครอยากใช้สินค้าญี่ปุ่น
“ซึ่งตัวผมเองเกิดในยุคที่เกาหลีใต้ยังอยู่ในระดับพอๆ กับประเทศไทย เป็นประเทศเล็กๆ ที่ดูมีความพยายาม แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน สินค้าเกาหลีเป็นของราคาถูก เพลงเกาหลีไม่มีใครฟัง และไม่เคยได้ยินใครบอกว่าอยากไปเที่ยวเกาหลี คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเห็นประจักษ์แล้วว่าญี่ปุ่นฟื้นตัวจากสงครามและกลายมาเป็นประเทศชั้นนำได้อีกครั้ง
“ส่วนคนรุ่นผมก็ต้องปวดใจที่เห็นประเทศที่ออกสตาร์ทพร้อมๆ กับเราอย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ค่อยๆ ผลัดกันแซงหน้าประเทศไทยไปทีละประเทศ ในขณะที่ลูกของผมต้องมาเจอข่าวว่าเวียดนามกำลังจะแซงไทยไปในอีกไม่นานนี้
“ไม่ว่าปีนี้ท่านจะอายุเท่าไร ผมมั่นใจครับว่าท่านได้ยินประโยคที่ว่า ‘ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา’ มาตั้งแต่เกิดกันทุกท่าน แต่นี่ไม่ควรเป็นที่ของประเทศไทย ประเทศไทยควรไปอยู่ในโลกที่หนึ่ง” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์