ความลุ้นระทึกจากการถอดรหัส และไขปริศนาต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามา บวกกับช็อตงามๆ ของงานศิลป์ล้ำค่า และเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ คงเป็นส่วนผสมซึ่งทำให้ The Da Vinci Code กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วทุกมุมโลก หลังเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2006 แม้จะเกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง เนื่องจากมีเนื้อหาพาดพิงถึงประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่นั่นก็ไม่อาจฉุดรั้ง The Da Vinci Code จากความสำเร็จถล่มทลายได้
The Da Vinci Code ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมขายดีของ แดน บราวน์ ในชื่อเดียวกัน เล่าเรื่องราวของ โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์วิทยา จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ถูกต้องสงสัยว่าก่อเหตุฆาตกรรม ฌาคส์ โซนิแยร์ ภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ณ จุดเกิดเหตุในพิพิธภัณฑ์ รอบศพของโซนิแยร์เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และข้อความปริศนา โดยตำรวจปารีสเชิญตัวโรเบิร์ตมา และอ้างว่าต้องการความช่วยเหลือจากเขา ก่อนที่ โซฟี เนอเวอ นักถอดรหัสจากกรมตำรวจ และหลานสาวของโซนิแยร์จะเข้ามาช่วยแลงดอนหลบหนี เพราะเชื่อว่าเขาจะสามารถช่วยเธอไขปริศนาที่คุณตาของเธอทิ้งเอาไว้ก่อนตายได้
ภาพยนตร์กำกับโดย รอน ฮาวเวิร์ด เรียบเรียงบทโดย อะคิวา โกลส์แมน โดยถือเป็นหนังเรื่องแรกของแฟรนไชส์ โรเบิร์ต แลงดอน ที่ได้นักแสดงระดับเอ-ลิสต์ของวงการอย่าง ทอม แฮงส์ มารับบทนำ สมทบด้วย ออเดรย์ โตตู, เอียน แม็คเคลเลน, อัลเฟรด โมลินา, ฌ็อง เรโน และพอล เบตตานี
The Da Vinci Code ได้รับกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจากนิกายโรมันคาทอลิก ถึงขนาดมีการออกมาเคลื่อนไหวให้เหล่าฆราวาสแบนภาพยนตร์เรื่องนี้ บวกกับนักวิจารณ์จากหลายสำนักก็ออกมาให้รีวิวด้านลบกับตัวหนัง ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรฉุดกระแสความดังของ The Da Vinci Code ได้ จนทำเงินทั่วโลกไปกว่า 758.2 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 125 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนมีภาคต่อตามมาอีกสองภาคได้แก่ Angels & Demons (2009) และ Inferno (2016)
ภาพ: Columbia Pictures