นอกจากปัญหารถพลังงานไฟฟ้า Tesla Model S ไฟไหม้ในประเทศจีน ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันสาเหตุที่แท้จริง ดูเหมือนว่าบริษัทเทสลา และอีลอน มัสก์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารจะมีงานให้ต้องทำกันอีกมาก ล่าสุด (วันพุธที่ 24 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น) บริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการช่วงไตรมาสแรก 2019 ออกมา และพบว่าขาดทุนหนักถึง 702 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รายได้โดยรวมลดลง 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
รายได้ของบริษัทเทสลาไตรมาส 1/2019 อยู่ที่ 4,541 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 145,500 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4/2019 ที่เคยมีรายได้รวม 7,225 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 231,600 ล้านบาท ราว 37% เมื่อคำนวณแล้วพบว่าไตรมาสแรกของปี 2019 ที่ผ่านมา บริษัทต้องขาดทุนกว่า 702 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22,500 ล้านบาท มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เคยประเมินเอาไว้เกือบ 2 เท่า
ด้านกำลังการผลิตและการส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้า พบว่าเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2019 ที่ผ่านมา เทสลาสามารถผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Model S/X รวมกันได้ 14,163 คัน ส่วน Model 3 อยู่ที่ 62,975 คัน และสามารถจัดส่งให้ผู้บริโภคได้ 12,091 คัน และ 50,928 ตามลำดับ ซึ่งถ้ามองเฉพาะ Model 3 ที่เทสลาเน้นผลิตมากเป็นพิเศษ จะพบว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะส่งมอบรถให้ลูกค้าลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 20%
ผู้สันทัดกรณีมองว่าสองเหตุผลประการต้นๆ ที่ทำให้ผลงานในไตรมาสแรกของปี 2019 ไม่ดีเท่าที่ควร มาจากการลดเงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ลงครึ่งหนึ่งจาก 7,500 เหรียญสหรัฐ ประกอบกับมีแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจำนวนมากเข้ามาบุกตลาดรถยนต์ EV มากขึ้น ซึ่งทำให้เทสลาต้องขยันและปรับกลยุทธ์แก้เกมให้ได้
อีกหนึ่งวิธีที่น่าจะช่วยให้รายรับและกำไรของเทสลาในไตรมาสต่อๆ ไปกระเตื้องขึ้น คือการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะเมื่อโรงงานของเทสลาในจีนก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็น่าจะช่วยขยายกำลังการผลิตรถยนต์ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า SUV ขนาดกลางตัวใหม่อย่าง Model Y ก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่เทสลาตั้งเป้าว่าจะต้องทำยอดขายได้สูงกว่ายอดขายรวมของรถยนต์ทั้ง 3 โมเดลก่อน เมื่อวางจำหน่ายในช่วงประมาณปี 2020
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: