บ่ายแก่ๆ ในวันที่แดดและท้องฟ้ากำลังสวย เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ในหลักวัย 55 เดินขึ้นมาบนดาดฟ้าของอาคารสูงย่านสะพานควาย ที่นั่นมีบาร์แจ๊สเปิดใหม่บรรยากาศกำลังดี และผมคิดว่าน่าจะเหมาะเป็นสถานที่คุยกับนักแสดง อดีตนักร้อง และพิธีกรชายไทยที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของวงการบันเทิง
สำหรับคนอายุ 30 ขึ้นไป ผลงานการแสดงในอดีตอย่างภาพยนตร์ ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย (2528), ปลื้ม (2529), ฉลุย (2531), ฉลุย โครงการ 2 (2533), สยึ๋มกึ๋ย (2534), กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน (2534) และหนังวัยรุ่นระดับตำนาน โลกทั้งใบให้นายคนเดียว (2538) ฯลฯ งานพิธีกร รวมไปถึงผลงานอัลบั้มเพลงอีกหนึ่งชุดคือภาพจำในระดับไอคอนแห่งยุค
แต่แล้วหลังจากโดดเด่นในแวดวงบันเทิงมาหลายปี อยู่ๆ เขาก็หายหน้าหายตาจากงานเบื้องหน้าไปสู่ชีวิตคนทำงานเบื้องหลัง หลายคนอาจจะพอทราบว่าเขาคือลูกศิษย์ด้านภาพยนตร์ของ ‘ท่านมุ้ย’ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล จนกระทั่ง 8 ปีต่อมาเขาก็หันไปจับงานด้านผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์และโฆษณาอย่างเป็นจริงเป็นจังมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
สุรศักดิ์ วงษ์ไทย มีผลงานการแสดงให้เห็นบ้างประปราย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าน้อยมากสำหรับคุณภาพที่เขาเคยฝากภาพจำทิ้งไว้ให้กับแฟนๆ จนกระทั่งล่าสุดเขากลับมามีผลงานการแสดงอีกครั้งในภาพยนตร์ แสงกระสือ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่เราจะนั่งคุยกับเขายาวๆ ถึงประสบการณ์ชีวิตและอีกหลากเรื่องหลายราวตลอดช่วงเวลาที่เขาหายเข้าไปอยู่หลังแสงสปอตไลต์ของวงการบันเทิง
ท่านมุ้ยบอกว่า “เอ็ม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นคุณอยากทำอะไรคุณไปทำ” และนั่นคือสิ่งที่พี่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ คือไม่ค่อยยึดติดกับความเปลี่ยนแปลง
หลายปีที่ผ่านมาคุณรับงานแสดงค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่ก็ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับคุณน้อยมาก ไม่คิดว่ารับงานแสดงน้อยไปเหรอ
พี่ขี้เกียจเล่น (หัวเราะ) คือพอไม่ได้เล่นอะไรนานๆ แล้วก็รู้สึกว่าคงเล่นไม่ได้แล้ว คาแรกเตอร์พี่ บทมันไม่ได้มีอะไรให้เล่นเยอะแยะมากมาย ถ้าไม่เป็นโจรก็สายสืบเหมือนที่เคยเล่นไป อาจจะเพราะด้วยหนวดเคราที่เราไม่ได้โกน เพราะฉะนั้นบทที่ติดต่อมาก็ต้องเฉพาะทางจริงๆ
ถ้าอยากจะได้คุณมาแสดงให้ ต้องเป็นบทแบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าท้าทาย
ก็ต้องเป็นบทที่น่าสนใจ สำหรับนักแสดงเราถือว่ามันเป็นเรื่องน่าสนุก เหมือนเราได้เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าบทน่าสนใจ แต่ต้องโกนหนวดโกนเคราล่ะ
ตอนนี้ที่พี่ไม่ได้โกนหนวดโกนเคราเพราะขี้เกียจโกน แล้วก็ชอบไว้ แต่ถ้ามีบทอะไรที่เราอยากเล่น อยากแสดงความรู้สึก อยากเป็นตัวละครตัวนั้น มันก็เป็นไปได้ เพราะเราก็ไม่ควรรับบทเดิมๆ อยู่ตลอด ชีวิตมันจะน่าเบื่อ
ทัดเขาเป็นคนที่เกลียดกระสือมาก เพราะสมัยก่อนมันมีตำนานที่ว่ากระสือรักกับคน ซึ่งนั่นก็คือตัวเขา แล้ววันหนึ่งผู้หญิงคนที่เป็นกระสือก็หักหลัง เขาก็เลยแค้น เพราะฉะนั้นไม่ว่ากระสือจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เขาจะไปตามล่าแล้วก็ตามฆ่า
ถ้าอย่างนั้นตัวละคร ทัด ใน แสงกระสือ น่าสนใจอย่างไรบ้างสำหรับคุณ
แบ็กกราวด์เบื้องหลังของทัดเป็นคนที่เกลียดกระสือมาก เพราะสมัยก่อนมันมีตำนานที่ว่ากระสือรักกับคน ซึ่งนั่นก็คือตัวเขา แล้ววันหนึ่งผู้หญิงคนที่เป็นกระสือก็หักหลัง เขาก็เลยแค้น เพราะฉะนั้นไม่ว่ากระสือจะอยู่ที่ไหน เขาจะไปตามล่าแล้วก็ตามฆ่า ส่วนความสำคัญในเรื่อง ทัดเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดเรื่องราวขึ้น นอกจากนางเอกจะรู้ว่าตัวเองเป็นกระสือแล้วยังถูกไล่ล่า ขณะเดียวกันก็มีผู้ชายสองคนที่รักและคอยเอาใจช่วยผู้หญิงคนนี้ในขณะที่เรากำลังตามไล่ล่าอยู่
โดม สิทธิศิริ ผู้กำกับ แสงกระสือ ชมให้ฟังว่าการแสดงของคุณมีพลังมาก อยากรู้ว่าตอนแสดงคุณใส่อะไรลงไปในนั้นบ้าง มองมิติของตัวละครนี้อย่างไร
คือเราคงต้องมองหาความแค้น ต้องถามว่ากระสือทำอะไรให้ ทำไมทัดถึงต้องแค้นมากมายขนาดนี้ แล้วก่อนจะแค้น ทัดเคยรักกระสือตัวนี้หรือเปล่า เขาเคยรักความเป็นกระสือหรือไม่เคยรู้ว่าเป็นกระสือ หรือแค้นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่บอก หรือแค้นเพราะกระสือมาทำร้ายพ่อแม่พี่น้อง เราต้องหาเส้นชีวิตของตัวละครแล้วเอาไปปรึกษากับผู้กำกับว่าสิ่งที่เราเข้าใจมันใช่หรือเปล่า
ที่ผ่านมามีงานที่สร้างเกี่ยวกับเรื่องราวของกระสือออกมาตลอด คุณคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของ แสงกระสือ ที่ยังสามารถทำให้คนดูรุ่นใหม่อินตามไปกับมันได้
เสน่ห์อย่างแรกของหนังเรื่องนี้ ผมว่ามันคือการตีความรูปลักษณ์กระสือเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราว่าอันนี้เป็นความใจกล้ามากที่ตีความและสร้างกระสือที่คนจดจำว่ามีหัวกับไส้ให้มีภาพที่เปลี่ยนไป เรื่องราวของกระสือมีแต่ความเกลียดชัง มีการกินขี้ กินตับไตไส้พุง ใน แสงกระสือ เราจะไม่ค่อยเห็นอะไรพวกนี้ แต่เน้นไปที่เรื่องราวความรักระหว่างผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายสองคน แล้วผู้ชายสองคนก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นกระสือ แต่เขาก็ยังรัก
คำถามก็คือ สาย ตัวเอกที่เป็นกระสือเนี่ยรักผู้ชายสองคนนี้จริงไหม สายรักหรือสายต้องการเอาตัวรอด สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องของการตีความ ซึ่งพี่คิดว่ามันเป็นเสน่ห์ที่ต่างจากงานกระสือสมัยก่อน
ความน่าสนใจอีกอย่างคือนอกจากจะเล่าในมุมโรแมนติก หนังยังตีความถึงความเจ็บปวดที่รู้ว่าตัวเองเป็นกระสือ และในร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว จริงๆ แล้วหัวใจอาจจะสะอาดกว่ามนุษย์ที่กำลังออกตามล่าอยู่ก็ได้
คือวันหนึ่งถ้าเรากลายเป็นหมาจิ้งจอกขึ้นมา มันไม่มีใครรู้หรอกว่าเราเจ็บปวดแค่ไหนกับการที่รู้ว่าเป็นคนอยู่ดีๆ แล้ววันหนึ่งต้องกลายร่างมาเป็นสัตว์ป่า เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้มันมีการตีความความเจ็บปวดในสิ่งที่ไม่อยากเป็น ซึ่งเราว่ามันเป็นมิติของตัวละครที่น่าสนใจ แล้วถ้าเทียบกับคนปกติทั่วไป เราเห็นคนที่หน้าตาดี แต่บางทีใจข้างในอาจจะเป็นสัตว์มนุษย์ก็ได้
พี่ว่าบางทีข้างในของคนเรามันก็คือปีศาจตัวหนึ่งนั่นแหละ มันไม่เกี่ยวว่าหน้าตาเขาจะดี หรือเขาจะรวย หรือเขาจะหล่อ มันสำคัญอยู่ที่ข้างในของคนคนนั้นว่ามีความเป็นคนอยู่แค่ไหนมากกว่า
คนมันน่ากลัวกว่าผี เพราะว่ามันตามหลอกหลอนเราอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตามเถอะ เราก็ไม่รู้ว่ามีความเป็นผีอยู่ในตัวหรือเปล่า
เหมือนอย่างที่เขาพูดกันว่าบางทีคนอาจจะน่ากลัวกว่าผี
ผีมันหลอกแล้วก็หายไปนะ แต่คนมันหลอกกันอยู่ทุกวัน เดินออกไปเนี่ย บางทีเราอาจจะเจอคนหลอก ซื้อสร้อยทอง บอกว่าเพิ่งเก็บได้ คนเรามันมีการหลอกลวง มันมีหน้ากากเป็นพันหน้า เขาถึงบอกว่าคนน่ากลัวกว่าผี เพราะมันตามหลอกหลอนเราอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตามเถอะ เราก็ไม่รู้ว่ามีความเป็นผีอยู่ในตัวหรือเปล่า
คุณมีความเป็นผีอยู่ในตัวเองสักแค่ไหน
พี่ว่าทุกคนมีความเป็นผีอยู่ในตัวเอง เพียงแต่เราจะเรียนรู้ความเป็นผีของตัวเองให้กลับมาเป็นคนได้ยังไง เราต้องรู้ความชั่วในใจของเราก่อนถึงจะรู้ความดี แต่เราจะทำชั่วหรือเปล่า อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทุกคนมีขาวและดำหมด เมื่อเรารู้ว่าตัวเองดำแล้วเราจะทำให้มันเป็นขาวหรือเปล่า หรือจะปล่อยให้ความดำนั้นอยู่กับตัวเองต่อไป
เวลาเสพข่าวสารทุกวันนี้ บางทีรู้สึกว่ามนุษย์โหดร้ายมากขึ้น สวนทางกับความเจริญทางด้านวัตถุ
เราว่ามันมีผล มีสิ่งที่หล่อหลอมมาหลายอย่าง สมัยก่อนตอนเป็นเด็กพี่จะได้ยินคำว่าหิริโอตตัปปะ หรือต้องมีความเกรงกลัวและละอายต่อบาป
สมัยนี้คนอาจจะต้องเอาตัวรอดมากขึ้น วัตถุนิยมกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เงินมา ถามว่าได้เงินมาเพื่ออะไร เพื่อที่จะให้ตัวเองทัดเทียม เพื่อจะได้ซื้อมือถือ เพื่อที่จะพาผู้หญิงไปเลี้ยง เพื่อหน้าตา ศักดิ์ศรี เพื่อที่จะได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ พอทุกคนมองวัตถุเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ค่อยมองเรื่องความดี คนเราถึงฆ่ากันตายได้เพราะโทรศัพท์เครื่องเดียว คนเราสามารถฆ่ากันตายได้ด้วยการเปิดฝาเบียร์แล้วกระเด็นไปโดนกัน
ถ้าในแง่การแสดงล่ะ คุณชอบแสดงบทคนดีหรือคนร้ายมากกว่ากัน
จริงๆ แล้วพี่อยากเล่นหนังรักนะ ไม่ได้อยากเล่นเป็นผู้ร้ายเลย พี่อยากเล่นหนังโรแมนติก เรื่องเดียวเลยที่พี่ดูตั้งแต่เด็กแล้วชอบคือ สลักจิต ที่พระเอกชื่อ อาเดียว แล้วเขาก็รักกับน้องผู้หญิงที่อายุอ่อนกว่า คือพี่ไม่เคยเล่นหนังรัก มันก็เลยมีความอยากเล่นหนังรักสักเรื่อง
ไม่นึกว่าคำตอบจะเป็นหนังโรแมนติก อยากเล่นเป็นอาเดียว
ไม่หรอก คือพี่เกิดมาจากหนังตลก หนังตลกพี่ก็เล่น หนังผีพี่ก็เล่น แอ็กชันพี่ก็เล่น ฟิล์มนัวร์พี่ก็เคยเล่น บทร้ายก็เล่น เป็นโจรก็เล่น พี่ก็เลยนึกว่ายังมีอะไรที่เราไม่เคยเล่น เฮ้ย เราไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกที่หลงรักผู้หญิงคนหนึ่งเลยนี่นา ถ้าจะมีที่เคยเล่นก็คงเป็น สยึ๋มกึ๋ย เราชอบที่เรื่องนี้มันมีความโรแมนติกในแง่ของความแฟนตาซี
สิ่งที่พี่ชอบในการเป็นผู้ช่วยคือการแก้ปัญหา แล้วพี่เป็นคนชอบแก้ปัญหาในงาน พี่ว่าการแก้ปัญหามันสนุก เวลาเราเจอปัญหาเยอะๆ มันทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะปัญหาในแต่ละวันมันก็คงไม่เหมือนกัน การพลิกแพลงสถานการณ์เฉพาะหน้าก็ไม่เหมือนกัน
งานหลักของคุณในเวลานี้น่าจะเป็นงานผู้ช่วยผู้กำกับ ขณะเดียวกันก็เคยได้ยินข่าวว่าคุณเตรียมจะกำกับภาพยนตร์อยู่หลายครั้งแล้วก็เงียบไป สรุปว่าไม่กำกับแล้วใช่ไหม
พี่ว่าผู้กำกับมันเป็นงานของการมีแพสชันนะ แพสชันคือสิ่งที่เราอยากเล่าเรื่องของผู้ชายผู้หญิงคู่นี้ ทำไมเขาถึงทะเลาะกัน ในเมื่อเขารักกันแล้วทำไมถึงได้แยกทางจากกัน นี่คือสิ่งที่ผู้กำกับควรต้องมีว่าอยากเห็นตัวละครตัวนั้นเป็นยังไง แต่สำหรับพี่ พี่ไม่ได้มีแพสชันที่อยากจะเห็นตัวละครตัวนั้นเป็นอะไร
นอกจากแพสชัน ผู้กำกับต้องเป็นคนรอบรู้ ผู้กำกับต้องฟังเพลง เพลงนั้นทำให้เกิดความรู้สึกอะไรบ้าง พี่ว่าผู้กำกับต้องเป็นคนที่ดูหนังเยอะ ดูเยอะไม่ได้หมายความว่าต้องเลียนแบบเขา แต่ดูว่าโลกไปถึงไหน หรือว่าเขาสร้างมิติตัวละครยังไง ไม่ได้ดูโลเคชันด้วยซ้ำนะ ดูว่าเพลงมันให้อารมณ์ยังไงกับตัวละคร นั่นคือสิ่งที่ผู้กำกับควรจะต้องรู้
ผู้กำกับต้องเป็นคนช่างสังเกต แต่ละคนมันมีคาแรกเตอร์ที่ต่างกัน บางคนอาจจะชอบนั่งกระดิกเท้า คนบางคนอาจจะชอบนั่งหมุนปากกา มันเป็นเสน่ห์เล็กๆ ที่ทำให้ตัวละครมีมิติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้พี่ไม่ได้ชอบสังเกต พี่ก็จะนั่งอยู่กับเพื่อนแล้วก็กินอะไรไป ท้ายสุดตลบกลับมาแล้ว พี่คิดว่าแพสชันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากเราอยากทำหนังเรื่องนี้ให้สำเร็จขึ้นมา
ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับเหมาะกับคุณอย่างไร
ก่อนที่พี่จะเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ตอนนั้นพี่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราชอบมากที่สุด หนัง ละคร หรือเพลง เพราะว่าพี่เคยออกเทปมาชุดหนึ่ง (ตัว M, 2532) คำตอบที่พี่ได้กลับมาก็คือ เออ พี่ชอบทำหนัง เพราะว่าพี่เติบโตมากับหนังตั้งแต่เรียนจบ คำถามต่อไปคือถ้าชอบแล้วเราจะเรียนรู้เรื่องหนังได้จากใคร ก็มีชื่อท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) เกิดขึ้นมา นั่นคือจุดประกายแรกที่พี่อยากเรียนรู้เรื่องหนัง แล้วพี่อยากจะไปเป็นผู้ช่วยใคร คำตอบก็คือพี่อยากเป็นผู้ช่วยของท่านมุ้ย
https://www.youtube.com/watch?v=6nE13nULBxU
ท่านมุ้ยบอกว่าในชีวิตผมไม่เคยกลัวคนเก่งหรอก เพราะคนเก่งยังไงก็ไล่กันทัน สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการทำกับการไม่ทำ ถ้าคุณทำกับมันมากเท่าไร เดี๋ยวคุณเก่งเอง แต่ถ้าคุณไม่ทำกับมัน คุณเก่งไม่ได้หรอก
แล้วทำไมต้องเป็นท่านมุ้ย
ในความคิดพี่ ท่านมุ้ยเก่งที่สุด ดูหนังของท่านเรื่อง มือปืน พี่จำช็อตแรกได้ติดตาคือช็อตที่มือปืนขี่มอเตอร์ไซค์มาแล้วเป็นวันช็อต ขี่แล้วก็ไปยิงคนที่สยามเซ็นเตอร์สมัยก่อน ที่ชั้น 4 มันมีร้าน Sky High เราดูแล้วก็ โอ้โห หนังเรื่องนี้น่าสนใจมาก การที่พระเอกเดินขาเป๋ แล้วถ่ายสลัมออกมาได้สวยมาก แล้วเป็นหนังเสียงด้วย คิดว่าถ้าจะเรียนเกี่ยวกับการทำหนังแล้วไม่ใช่การครูพักลักจำ คนนี้เก่งสำหรับพี่
พี่ไม่รู้หรอกว่าท่านจบ UCLA หรืออะไรมา แต่พี่เห็นหนังของท่านแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปเรียนกับคนเก่ง แล้วท่านก็สอนตั้งแต่เขียนบท “มึงมานั่งดูกูเขียนบทสิเอ็ม” นั่งไปก็หลับไป “หลับอย่างนี้แล้วมึงจะได้อะไรวะ” เราก็ขยับ
คือท่านไม่กลัวเรื่องทำอะไรผิดนะ ท่านบอกว่า “ในชีวิตผมไม่เคยกลัวคนเก่งหรอก เพราะคนเก่งยังไงก็ไล่กันทัน สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการทำกับการไม่ทำ ถ้าคุณทำกับมันมากเท่าไร เดี๋ยวคุณเก่งเอง แต่ถ้าคุณไม่ทำกับมัน คุณเก่งไม่ได้หรอก”
คลุกคลีอยู่กับผู้กำกับที่เก่งขนาดนี้ ตกลงว่าไม่สนใจกำกับภาพยนตร์แล้วจริงๆ เหรอ
คือพอชีวิตพี่เดินทางกับท่านมุ้ยมาช่วงหนึ่ง มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่ก็อยากเป็นผู้กำกับ พี่ใช้คำว่าอยากเป็นก็แล้วกัน มันเป็นสเตปที่ถึงจุดหนึ่งมนุษย์ทุกคนก็อยากเทิร์นโปร เป็นผู้ช่วย แล้วต่อมาก็เป็นผู้กำกับ มันเป็นสเตปตื้นๆ ตื้นมาก
เพราะฉะนั้นพอพี่อยากเป็นผู้กำกับ พี่ก็แค่อยากเป็น พี่ไม่ได้อยากทำ พี่ไม่ได้มีแพสชัน พี่ทำเพราะมันเป็นสเตป เพราะฉะนั้นพี่ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวของพี่ พี่ไม่ได้มีเรื่องอยากจะเล่า พี่ไม่ได้มีภาพที่อยากจะเห็น พี่ก็เลยถามตัวเองกลับไปว่าแล้วยังอยากจะทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ไหม เรายังอยากเป็นผู้ช่วย
หลังจากนั้นพี่ก็ทำงานเป็นผู้ช่วยท่านมุ้ยอยู่ 8 ปี จบเรื่อง สุริโยไท แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้เราเป็นผู้ช่วยแล้วอยู่ต่อได้ พี่ก็ไปเป็นผู้ช่วยหนังโฆษณา
คุณชอบอะไรในงานผู้ช่วยผู้กำกับถึงอยู่กับมันได้นานขนาดนี้
สิ่งที่พี่ชอบในการเป็นผู้ช่วยคือการแก้ปัญหา แล้วพี่เป็นคนชอบแก้ปัญหาในงาน พี่ว่าการแก้ปัญหามันสนุก เวลาเราเจอปัญหาเยอะๆ มันทำให้เราฉลาดขึ้น เพราะปัญหาในแต่ละวันมันก็คงไม่เหมือนกัน การพลิกแพลงสถานการณ์เฉพาะหน้าก็ไม่เหมือนกัน
อีกอย่างงานทุกงานเรามีผู้กำกับเป็นหัวอยู่แล้ว พวกเราที่เป็นทีมงานทั้งหมดมีตำแหน่งเป็นแขน ขา หัวใจ ตับ ปอด เพื่อที่จะประกอบขึ้นมาเป็นร่างหนึ่ง ร่างนั้นจะสมบูรณ์หรือดูขาดวิ่นก็อยู่ที่พวกเรา เพราะฉะนั้นพี่ชอบเป็นแขนเป็นขามากกว่า มันสนุกกว่ามั้ง มันทำให้เราอยู่กับชิ้นงานได้มากกว่า
จริงไหมครับที่ได้ยินมาว่าคุณเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ค่าตัวแพงที่สุดในเมืองไทย
โอ้โห อยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ (หัวเราะ) คือพี่ไม่ได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับค่าตัวแพงนะ แต่พี่เรียกเงินตามความสามารถ พี่มีความสามารถแค่ไหนพี่ก็ทำให้เขาเท่านั้น แล้วก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเขาจะจ้างหรือไม่จ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่ามีความสามารถประมาณนี้ เราก็เรียกสตางค์ประมาณนี้
มีอะไรบ้างอยู่ในค่าตัวที่เรียก
มีทุกอย่าง มันมีทั้งประสบการณ์ มันมีเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการกอง เรื่องของการคุมทีม มันเป็นเรื่องของอารมณ์ทุกอย่าง การบิลด์ทีม อ้าว ทำไมไม่ทำงาน ด่ากัน เล่นกันบ้าง หัวเราะกันบ้าง เพื่อให้ทุกอย่างมันเดินต่อไปได้อย่างราบรื่นที่สุด ฉะนั้นการลำดับการถ่าย ถ้าอันนี้ยังไม่ได้ ไปถ่ายอันนี้ก่อนไหม มันเป็นการพลิกแพลงหน้างาน
งานผู้ช่วยผู้กำกับมีวันหมดอายุไหม ต้องอายุเท่าไรถึงควรเลิก
สำหรับพี่ไม่มีอะไรหมดอายุนะ สิ่งที่จะไม่หมดอายุคือการที่เราใฝ่รู้ พี่ว่าการใฝ่รู้เป็นเรื่องสำคัญ การที่เขาจ้างเราก็เพราะว่าเราแพง และที่เขาจะไม่จ้างเราก็เพราะเราแพง เพราะฉะนั้นเมื่อเราแพงแล้ว สิ่งที่เรารู้มันก็ต้องมากกว่าคนอื่น แล้วถ้าเรายิ่งรู้ไปเรื่อยๆ พี่คิดว่ามันไม่มีวันหมดอายุ
ผู้ช่วยผู้กำกับวัย 55 หาความรู้จากอะไรบ้างเพื่อให้ทันเด็กรุ่นใหม่
จริงๆ แล้วสิ่งที่พี่ต่างจากเด็กมากที่สุดคือการแก้ปัญหา เพราะมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ การมองเห็น จังหวะ พี่รู้ว่าถ้าตั้งกล้องทางนี้ตัวแสดงจะหันไป เพราะพี่เคยเป็นนักแสดงมาก่อน พี่รู้ว่าจังหวะไหนควรพูด จังหวะไหนควรทิ้งช่วง จังหวะไหนควรจะต้องทำอะไร หาจุดตั้งกล้องให้เห็นภาพทั้งหมด พี่รู้ว่าควรจะจัดบล็อกกิ้งยังไง พี่เคยเป็นนักแสดง พี่เข้าใจความรู้สึกของตัวแสดง พี่สามารถบอกตัวแสดงได้ว่าต้องการอะไร
สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องของประสบการณ์และการสั่งสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลา ผู้กำกับบางคนต้องการแบบโน้น บางคนต้องการแบบนี้ มันคือการเรียนรู้การทำงานกับคนไปเรื่อยๆ พี่ว่าด้วยวัยนั่นแหละที่ทำให้เรารู้อะไรมากกว่า
สำหรับผมไม่มีอะไรหมดอายุนะ สิ่งที่จะไม่หมดอายุคือการที่เราใฝ่รู้ ผมว่าการใฝ่รู้เป็นเรื่องสำคัญ การที่เขาจ้างเราก็เพราะว่าเราแพง และที่เขาจะไม่จ้างเราก็เพราะเราแพง เพราะฉะนั้นเมื่อเราแพง สิ่งที่เรารู้มันก็ต้องมากกว่าคนอื่น
อย่างหนึ่งที่ชอบคือคุณเป็นคนไม่กลัวที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซน คือเมื่อรู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากเดินไปทางไหนต่อ คุณก็กล้าที่จะออกไปลุยเลย
ไม่หรอก คือตัวพี่มันเริ่มมาจากศูนย์ ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเป็นนักแสดงเลย แล้ววันหนึ่งเราได้เป็นนักแสดงขึ้นมา เรามีชื่อเสียง เรามีรายได้ แล้ววันหนึ่งเราก็เริ่มเบื่อ อย่างเมื่อก่อนต้องไปงาน เราก็เริ่มเบื่อการไปงาน เราก็เริ่มเบื่อเรื่องการแต่งหน้า เราก็เริ่มเบื่อเรื่องการตื่นเช้า เราก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเรากลับไปอยู่จุดเริ่มต้นโดยที่ไม่ได้เป็นนักแสดงเลยจะอยู่ได้ไหม เราก็เลยหยุดแล้วมานั่งทำงานประจำ ก็อยู่ได้นะ
การเป็นคนบันเทิงที่กำลังยืนอยู่ในสถานะที่โด่งดัง เป็นอะไรที่ไม่ใช่ทุกคนจะฉายแสงได้ แต่ตอนนั้นคุณก็กล้าเลิกแล้วหายหน้าไปเลย ถามจริงๆ ไม่รู้สึกเสียดายชื่อเสียงที่สร้างมาเหรอ
เราอย่าไปเสียดายมัน คือทัศนคติของพี่ พี่มองว่าชีวิตคือการเดินทาง เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องเดินทางค้นหาว่าสิ่งที่พี่ต้องการมันคืออะไร พี่ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้หรือไม่ได้ มันต้องทดลอง พี่รู้แต่ว่าถ้าเราไม่ทดลองทำอะไร เราก็จะอยู่แต่ที่เดิมๆ อีกอย่างนักแสดงมันกลับมาไม่ยากหรอกสำหรับพี่ เพราะพี่ไม่ได้เล่นเป็นพระเอก พี่เล่นเป็นตัวประกอบ เล่นเป็นตัวตาม บทพวกนี้มันมีให้เล่นตลอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปห่วง เราลุยไปข้างหน้าในสิ่งที่ตัวเองต้องการ อีกอย่างพี่ถามตัวเองว่าแล้วถ้าวันหนึ่งเราป่วย เราตาย เราตกต่ำ อะไรที่จะเลี้ยงชีวิตเราไปได้ตลอด นั่นก็คือความรู้ พี่ก็เลยต้องไปหาความรู้ ในเมื่อชอบหนังก็ไปเรียนทำหนัง
บทเรียนสักหนึ่งคอร์สที่จะจำมันไปจนตาย
ประโยคที่พี่ชอบเสมอคือท่านมุ้ยบอกว่า “เอ็ม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นคุณอยากทำอะไรคุณไปทำ” และนั่นคือสิ่งที่พี่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ คือไม่ค่อยยึดติดกับความเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างที่ Adidas เขามีสโลแกนว่า Impossible is Nothing คือไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ Nike ก็มาตบท้ายว่า Just Do It แค่ทำมัน แค่นั้นเอง
ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร คุณต้องใส่ใจ คุณต้องสนใจ คุณต้องสนุกกับมัน คุณต้องวิเคราะห์มัน คุณต้องหาข้อผิดพลาดของมัน และคุณต้องยังไม่พอใจต่อผลงานที่ได้เมื่อมันผ่านไป ถ้าเชื่อในสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะทำอาชีพหรือทำตำแหน่งใดก็ตาม ผมเชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
ช่วงชีวิตวัยรุ่นมักจะเติบโตไปพร้อมกับความเชื่อและความฝัน แต่พออายุเยอะขึ้น เราจะอยู่และยอมรับกับความจริงได้มากขึ้น ในฐานะคนที่ผ่านการค้นหาและกล้าที่จะเลือกในเส้นทางที่ใช่สำหรับตัวเอง คุณคิดว่าเราควรบาลานซ์สองอย่างนี้อย่างไร
เราไม่แน่ใจว่าวัยรุ่นเขามีความเชื่อหรือจริงๆ มันคือความหลง สองสิ่งนี้มันใกล้เคียงกันมาก แต่สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีความเชื่อจริงๆ ว่าทำสิ่งนั้นแล้วจะได้ในสิ่งที่ฝัน สักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นความจริงหรือประสบความสำเร็จ พี่ว่าสองคำนี้ ความเชื่อมันคือเหตุ ความจริงคือถ้าคุณเชื่อแล้วลงมือทำมันก็จะเป็นความจริง
หนังสือฮาวทูนั้นขายดีมาทุกยุคทุกสมัย เช่น ทำอย่างไรให้รวย ทำอย่างไรให้ค้นพบตัวเอง ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ คุณคิดว่าเราควรเสพสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือพวกนี้อย่างไรให้ได้ผล
ไม่รู้สิ พี่เชื่อว่าคนเรามันถูกสร้างให้มาหาฮาวทูที่ต่างกัน เพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นฮาวทูของใครของมัน ทุกคนต้องเดินหาฮาวทูนั้น
พี่ว่าทุกวันนี้หนังสือฮาวทูมันได้แค่จุดประกาย แต่มันอาจจะไม่ใช่เรา คนเขียนแค่เป็นคนที่เคยประสบความสำเร็จด้วยฮาวทูแบบนี้ แต่เราไม่ได้เติบโตหรือเจอประสบการณ์ชีวิตมาแบบเขา เราไม่สามารถเอาฮาวทูของเขามาใช้ได้ เราแค่เอาวิธีคิดว่าควรต้องทำยังไงมาปรับใช้กับตัวเราเองมากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่าฮาวทูของแต่ละคนไม่มีทางที่จะเหมือนกัน เราเดินกันคนละวิถีทาง เส้นทางชีวิตย่อมไม่มีทางเหมือนกัน
อาชีพคนทำภาพยนตร์ยังคงเป็นงานในฝันสำหรับคนรุ่นใหม่เสมอ ขอฮาวทูจากคุณสักข้อสิว่าต้องทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในแวดวงนี้
ใส่ใจ สนใจ แล้วก็ต้องสนุกกับงานที่ตัวเองทำ พี่ว่าใช้ได้กับทุกอาชีพ
ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร คุณต้องใส่ใจมัน คุณต้องสนใจมัน คุณต้องสนุกกับมัน คุณต้องวิเคราะห์มัน คุณต้องหาข้อผิดพลาดของมัน และคุณต้องยังไม่พอใจต่อผลงานที่ได้เมื่อมันผ่านไป นั่นหมายความว่าเขาคือหมาที่กัดไม่ปล่อย กัดต่อไป กัดอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะทำอาชีพหรือทำตำแหน่งใดก็ตาม พี่เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
ขอบคุณสถานที่: Dumbo Jazz & Vinyl Bar ชั้น 6 ตึก Inn Office เขตพญาไทกรุงเทพฯ โทร. 09 4469 6896
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
ภาพยนตร์ แสงกระสือ นำแสดงโดย โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์, มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร, เกรท-สพล อัศวมั่นคง และเอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย เข้าฉาย 14 มีนาคมนี้