ในช่วงนี้มีหนัง 2 เรื่องที่พูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อมีสมาชิกคนหนึ่งเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่โลกของยาเสพติด เรื่องแรกคือ Beautiful Boy (อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ thestandard.co/beautiful-boy/) และ Ben is Back ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เฮ็ตจส์ แสดงนำโดย จูเลีย โรเบิร์ตส์ และ ลูคัส เฮดจ์ส (Manchester by the Sea และ Lady Bird) ที่จะเริ่มเข้าฉายในวันที่ 31 มกราคมนี้
ทั้ง 2 เรื่องมีจุดคล้ายกันตรงที่ไม่ได้พยายามนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาที่ตัวละครเริ่มรู้จักยาเสพติด แต่ไปโฟกัสในช่วงเวลายากลำบากที่ต้องเผชิญ เมื่อพวกเขาเข้าสู่กระบวนการ ‘บำบัด’ เพื่อพาตัวเองกลับสู่การใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับทุกคนในครอบครัวอีกครั้ง
สำหรับ Beautiful Boy จะเน้นไปที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวอย่างเดียว แต่ Ben is Back ขยายขอบเขตไปถึงผลกระทบทางสังคมที่กว้างกว่านั้น
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเบนหนีออกมาจากสถานบำบัด หลังใช้ชีวิตปลอดสารเสพติดได้ 77 วัน สิ่งเดียวที่เขาหวังคืออยากมีความสุขร่วมกับแม่ พ่อเลี้ยง น้องๆ และสุนัขตัวโปรดอีกครั้ง แม้รู้ว่าเขามีเวลาเพียงแค่หนึ่งวันในเทศกาลคริสต์มาสก็ตาม
แต่หนึ่งวันแห่งความสุขกลับกลายเป็น 24 ชั่วโมงอันแสนยาวนาน เพราะวีรกรรมที่เขาสร้างไว้ในอดีตทำให้ทุกคนมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป กระทั่งแม่อย่าง ฮอลลี ที่ต่อให้รักและดีใจกับการกลับมาของเขาขนาดไหน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องเก็บของมีค่ารวมทั้ง ‘ปัจจัยกระตุ้น’ ทุกอย่างออกไปจากสายตา เพื่อป้องกันไม่ให้เบนเกิดความรู้สึกอยากใช้ยาเสพติดขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งการกลับมาของแก๊งค้ายาที่เบนเคยร่วมงานด้วย ที่เปลี่ยนให้เทศกาลคริสต์มาสกลายเป็นค่ำคืนแห่งฝันร้ายของทุกคนไปด้วย
ตัวหนังทำได้ดีมากในทุกๆ พาร์ตดราม่าที่ค่อยๆ เปิดเผย ‘ความลับ’ ของเบนที่ทำให้เราสนุกไปกับการคาดเดาว่าเขาไปก่อเรื่องร้ายแรงไว้มากแค่ไหน ทำไมทุกคนถึงต้องหวาดกลัวเขาขนาดนี้ บางเรื่องก็แสนเศร้า บางเรื่องก็สะอิดสะเอียน และบางเรื่องก็เลวร้ายจนไม่น่าให้อภัย รวมทั้งการทำ ‘ทุกอย่าง’ ด้วยความรักของคนเป็นแม่ที่พยายามประคองลูกชายที่กำลังเปราะบางอย่างถึงที่สุด ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่านี่เป็นวัตถุดิบในการเล่าเรื่องที่ดีเพียงพอที่จะทำให้เราติดตามความสัมพันธ์ของพวกเขาไปได้จนจบแล้ว
แต่เมื่อเข้าสู่พาร์ตที่พยายามผลักดันให้หนังมีความแอ็กชันเพิ่มขึ้น ด้วยการให้เบนต้องกลับไปยุ่งเกี่ยวกับแก๊งค้ายาเสพติดอีกครั้ง แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ได้คลี่คลายให้ถึงที่สุด และ ‘ภารกิจ’ ที่ถูกโปรโมตว่าเป็นไฮไลต์สำคัญ ก็แสนเรียบง่าย บางเบา จนเหมือนว่ายิ่งพยายามเร้าเราด้วยซีนแอ็กชันมากเท่าไร ความรู้สึกอินไปกับตัวละครก็ยิ่งลดลงเท่านั้น จนสุดท้ายกลายเป็นว่ากว่าจะถึงบทสรุปของทั้งหมด เราไม่สามารถปะติดปะต่ออารมณ์กับหนังได้อีกแล้ว
ยังดีที่มีสิ่งหนึ่งพอจะมาช่วยหักลบกลบหนี้ให้กับฉากแอ็กชันที่ไม่แอ็กชันได้คือ พลังของนักแสดงหลักทั้ง 2 คน ซึ่งแน่นอนว่าความสามารถของ จูเลีย โรเบิร์ตส์ นั้นช่วยโอบอุ้มหนังไว้ได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว แต่ ลูคัส เฮดจ์ส ก็โดดเด่นมากพอที่จะเล่นเคียงคู่ไปกับนักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
คงต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับ ปีเตอร์ เฮ็ตจส์ ที่รับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและผู้กำกับ ที่เข้าใจและสามารถดึงเอาศักยภาพของลูคัสออกมาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ในเรื่องบุคลิกภายนอกของเขาจะมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาได้ไม่เท่ากับ ทิโมธี ชาลาเมต์ ใน Beautiful Boy
แต่เขาก็ชดเชยส่วนนั้นได้ด้วยการแสดงอารมณ์อึดอัดกระอักกระอ่วน ซ่อนความทุกข์ในความสุข ซ่อนความอ่อนโยนไว้ในความแข็งกระด้างได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากที่เขาแบกรับทุกอย่างไม่ไหว เพราะรู้ว่าเป็นความผิดพลาดในอดีตของเขาที่ทำให้ค่ำคืนแห่งความสุขของทุกคนต้องจบสิ้นลง
ทุกความความเจ็บปวดสิ้นหวังที่แสดงออกมา ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งในนักแสดงรุ่นใหม่ที่จะเติบโตได้อีกไกลอย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า