หลังเหตุการณ์ป้าทุบรถกลายเป็นไวรัลทางโซเชียลมีเดียเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีการดำเนินคดีกันตามขั้นตอนของกฎหมาย
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ศาลจังหวัดพระโขนง ถนนสรรพาวุธ ได้นัดอ่านพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1441/2561 ที่พนักงานอัยการโจทก์และ นางสาวรัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 57 ปี กับ นางสาวมณีรัตน์ แสงภัทรโชติ อายุ 61 ปี ร่วมกันเป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง นางสาวรชนีกร เลิศวาสนา อายุ 37 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานจอดรถกีดขวางทางเข้า-ออกอาคาร และก่อความเดือดร้อนรำคาญ
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 เวลากลางวัน จำเลยได้จอดรถยนต์นิสสัน รุ่นนาวารา สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎค 9297 กรุงเทพมหานคร จอดขวางทางเข้า-ออกประตูหน้าบ้านของโจทก์ เลขที่ 337/208 หมู่บ้านเสรีวิลล่า ซอยศรีนครินทร์ 55 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าออกได้
ขณะที่วันนี้ นางสาวรัตนฉัตร และ นางสาวมณีรัตน์ โจทก์ร่วมเดินทางมาศาลพร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และจำเลยเดินทางมาศาล
ภายหลังนายอนันต์ชัยเปิดเผยว่า วันนี้ศาลพิพากษาว่า นางสาวรชนีกร จำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง โดยศาลวินิจฉัยในประเด็นสำคัญที่จำเลยอ้างว่าใช้เวลาจอดรถซื้อของเพียง 15 นาทีนั้น ทางฝ่ายโจทก์อ้างตัวเองเบิกความเป็นพยานว่า นางสาวรชนีกร จำเลยจอดรถขวางหน้าบ้าน ไม่สามารถนำรถออกได้ จึงบีบแตรใช้เวลานานถึง 30 นาที หากจำเลยจอดรถใช้เวลาไม่นาน โจทก์คงไม่นำเสียมและขวานมาทุบกระจกรถของจำเลย จึงเชื่อว่าจำเลยจอดรถใช้เวลาซื้อของตามความประสงค์ของตนเองโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของบุคคลอื่น
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเล็งเห็นผลต่อโจทก์ร่วมทั้งสอง อันเป็นการทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับความเดือดร้อนรำคาญบนถนนสาธารณะ ซึ่งประชาชนชอบที่จะใช้สัญจรได้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำในที่สาธารณสถาน ทั้งเป็นการจอดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคารและในลักษณะกีดขวางการจราจรการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก มาตรา 57 (10)(15),148 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397 วรรคสอง ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ เป็นการกระทำในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับนั้นเป็นความเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษตามมาตรา 90 พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก เพื่อให้คดีเลิกกัน
ดังนั้น นางสาวรัชนีกร จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397 วรรคสอง อันเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ 397 วรรคสอง เป็นบทที่หนักสุด จำคุก 15 วัน ปรับ 5,000 บาท
ทั้งนี้ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ปรากฏเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
นายอนันต์ชัยยังกล่าวอีกว่า ส่วนคดีหมายเลขดำที่ อ.3917/2561 ที่พนักงานอัยการศาลจังหวัดพระโขนงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสาวมณีรัตน์ และ นางสาวรัตนฉัตร เป็นจำเลยที่ 1-2 ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์
กรณีที่จำเลยทั้งสองใช้ขวานและเหล็กยาวทุบทำลายรถยนต์นิสสัน รุ่นนาวารา สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎค 9297 กรุงเทพมหานคร ของนางสาวรชนีกรที่จอดขวางหน้าบ้านตัวเองนั้น ที่ผ่านมาศาลได้เคยนัดไกล่เกลี่ยแต่ไม่ลงตัว ซึ่งเราก็ได้ให้การปฏิเสธไป โดยป้าทั้งสองให้การยอมรับว่าได้ใช้ขวานและเสียมทุบรถจริง แต่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และผู้เสียหายมีส่วนในการกระทำความผิด ซึ่งศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ 7 มีนาคม 2562 เวลา 09.00 น.
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า