ทราบไหมครับว่า ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้ ลิโอเนล เมสซี อายุ 31 ปีแล้ว
บางคนอาจจะทราบ ขณะที่หลายคนอาจไม่ทราบ ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่เราทราบแน่ๆ คือเวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน (คิดถึงไอ้หนูลิโอเนลหัวกระเซิงในวันวานขึ้นมาทันที) และวันเวลาที่เราจะได้เห็นนักฟุตบอลที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ที่สุดในโลกลงวาดลวดลายให้เห็นนั้นจะยิ่งเหลือน้อยลงไปทุกที
เมสซีกำลังเดินทางสู่ขาลงของชีวิต และไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่าเขาจะรักษาความมหัศจรรย์เอาไว้ได้อีกนาน เพราะเขาดูแตกต่างจาก คริสเตียโน โรนัลโด คู่แข่งชั่วชีวิตที่เอาจริงเอาจังกับการดูแลร่างกายอย่างเข้มงวดเพื่อให้สามารถค้าแข้งได้ต่อไปอย่างยาวนานที่สุด
ดังนั้นแม้วัยจะล่วงเข้าเลข 33 ปี แต่สภาพร่างกายของโรนัลโดไม่แตกต่างอะไรจากเด็กเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ
ขณะที่เมสซีดูเป็นคนสบายๆ ดูไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะทำอะไรขนาดนั้น เพราะแค่พรสวรรค์ที่ติดตัวมานั้นเชื่อได้ว่าน่าจะเล่นในระดับสูงสุดได้อีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย
แต่ถ้า ‘ลา พูลกา’ (เจ้าตัวหมัด สมญาของเขา) ทำแบบนั้น บางทีเขาอาจจะรักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงสุดที่ทำประตูได้เฉลี่ย 40 ประตูเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน (ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่คงจะหาใครมาทาบได้แสนยากหลังจากนี้) เอาไว้ไม่ไหว
เช่นนั้น การเล่นของเขาน่าจะตกลงเรื่อยๆ และในวันหนึ่งคงกลายเป็นส่วนเกินในทีมบาร์เซโลนา และนั่นหมายถึงช่วงเวลาของการจากลาที่ย่างกรายเข้ามา
สำหรับคนที่นิยมในซ้ายฟ้าประทานของเขาอย่างผม แค่คิดก็เศร้าแล้วครับ
นักเขียนลูกหนังระดับชั้นนำของวงการหลายคนก็พยายามบอกกับผู้อ่านว่า ระหว่างที่ เมสซียังโลดแล่นในสนามได้อย่างสง่างามไหว ก็ขอให้จดจำวันเวลาที่ดีเอาไว้
เพราะนักฟุตบอลแบบนี้ร้อยปีจะมีสักคน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขียนไปเมื่อข้างต้นนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันครับ เพราะเพิ่งมีการเปิดเผยความลับของเมสซีออกมาว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้เป็นคนปล่อยปละละเลยการดูแลสุขภาพร่างกายอะไรขนาดนั้น
ในทางตรงกันข้าม เขาพยายามทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อที่จะยืดอายุการเล่นของเขาให้ยาวนานที่สุด
โดยที่วิธีการของเขานั้นเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย และที่สำคัญกว่าคือเป้าหมายของเขา ผมเชื่อว่าไม่มีใครเดาถูกแน่ครับว่าเมสซีทำเพื่ออะไร
การเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แกร่งที่สุด
ย้อนหลังกลับไปในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สนามเวมบลีย์ หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายหลังเกมจบลงด้วยชัยชนะของบาร์เซโลนาเหนือท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เหล่าขุนพลเบลากรานายืนเรียงรายและปรบมือร้องเพลง
พวกเขาร้องว่า “ใครคือคนที่เป็น The Best”
สิ่งที่นักเตะบาร์ซาต้องการสื่อคือ สำหรับพวกเขา คนที่เป็น The Best ของโลกยังคงเป็นยอดนักเตะอาร์เจนไตน์คนเดิม หลังจากที่เมสซีไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็น 3 ผู้เล่นสุดท้ายที่มีโอกาสได้รางวัล (3 คนได้แก่ คริสเตียโน โรนัลโด, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ ลูกา โมดริช ซึ่งสุดท้ายเป็นโมดริชที่ได้รางวัลที่จัดขึ้นโดยฟีฟ่าไปครอง) เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
เมสซีแสดงให้เห็นถึงผลงานระดับ ‘มาสเตอร์คลาส’ ในเกมพิชิตสเปอร์ส โดยเขาวิ่งถึง 8.2 กิโลเมตรในเกมนั้น และสัมผัสบอลมากถึง 96 ครั้ง ไม่นับการทำ 2 ประตูสวยๆ และการยิงชนเสาแบบสมควรเข้า และลูกเล่นกลเม็ดเด็ดพรายที่โชว์ออกมา
เกมนั้นเป็นเกมที่เมสซีเล่นได้ดีที่สุดในรอบปี และเป็นเหมือนแทนคำตอบต่อคนที่สงสัยในตัวเขา
แต่ในเบื้องหลังของฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมนั้น เมสซีไม่ได้นอนเฉยๆ แล้วตื่นมาก็เล่นได้สุดยอดเลย
นอกเหนือจากการทุ่มเทในการฝึกซ้อมแล้ว เขาได้ทำในสิ่งที่ยากลำบากที่สุดในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่โหด หิน และเหี้ยมที่สุด
คู่แข่งคนดังกล่าวไม่ใช่โรนัลโดหรือใคร หากแต่เป็นตัวของเขาเอง!
สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือเรื่องนิสัยในการกินของเมสซีที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพมากนัก โดยเฉพาะสำหรับนักฟุตบอลในปัจจุบันที่เรื่องของวิทยาศาสตร์การกีฬา การโภชนาการ และเรื่องของฟิตเนสมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างความแตกต่างในการเล่น
ในทีมบาร์ซามีเรื่องเล่าอยู่ครับว่า ครั้งหนึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอลา อดีตโค้ชที่เปลี่ยนเมสซีให้เป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกได้พยายามที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยการรับประทานของสตาร์ตัวน้อยในทีมเสียใหม่
สิ่งที่เป๊ปร้องขอต่อสโมสรคือ การขอให้เอาตู้กดน้ำออกไปไกลๆ จากห้องแต่งตัวได้ไหม เพราะการที่อยู่ใกล้ห้องแต่งตัวนั้นย่อมหมายถึงการที่เมสซีจะสนใจแต่การกดโคลากระป๋องมาดื่มในช่วงก่อนเกม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวนทางกับการเตรียมความพร้อมก่อนลงสนามที่ดีอย่างสิ้นเชิง
ครั้งหนึ่งในฤดูกาล 2008-2009 ในช่วงทีมทอล์ก ซึ่งเป๊ปกำลังพูดอธิบายแผนการเล่นอย่างขะมักเขม้น เมสซีขัดจังหวะของเขาด้วยการขออนุญาตไปกดโคลากระป๋อง เครื่องดื่มโปรดของเขามาดื่มให้สะใจ
การกระทำเช่นนั้นเป็นการเสียมารยาทอย่างรุนแรง เป็นการหักหน้าเจ้านาย และยังเป็นการทำลายสมาธิของเพื่อนร่วมทีมอีกด้วย ดังนั้นเป๊ปจึงไม่อนุญาตให้เมสซีทำเช่นนั้น
แต่แทนที่จะสนใจ เมสซีกลับเดินออกจากห้องไปกดโคลากระป๋องออกมา แล้วยืนกระดกดังเอื้อกๆ ต่อหน้าเป๊ปและเพื่อนร่วมทีมที่ยืนช็อกพูดอะไรไม่ออก
ขณะที่ ชาร์ลี เรซัค อดีตนักเตะระดับตำนานของบาร์ซาเปิดเผยว่า เมสซีกินพิซซ่าเกินลิมิตกว่าที่ควรจะกินได้
นอกเหนือจากโคลา (และน้ำหวานต่างๆ) พิซซ่า และพาสต้าแล้ว เมสซียังไม่เคยขาด ‘มิลาเนซา’ (อาหารพื้นเมืองสุดโปรดของชาวอาร์เจนตินา ก็คือสเต๊กเนื้อจานโตราดซอสมะเขือเทศโปะด้วยชีสและแฮม) รวมถึงจังก์ฟู้ดทั้งหลาย
เรียกว่าอะไรที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ นั่นแหละคือของโปรดของเขา
อย่างไรก็ดี เมื่อมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต เมสซีเริ่มตระหนักได้ว่าเขาในวัย 27 ปีไม่สามารถจะทานอะไรตามใจปากได้เหมือนตอนอายุ 18-19 ได้
และนั่นทำให้เขาเริ่มฟังคำแนะนำของ จิวลิอาโน โพเซอร์ นักโภชนาการชาวอิตาเลียนอย่างจริงจัง จริงใจ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
โพเซอร์เป็นนักโภชนาการที่เมสซีได้รับการแนะนำมาจาก มาร์ติน เดมิเคลิส รุ่นพี่ในทีมชาติ ในช่วงหลังจบฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งการพบกันของทั้งสองในครั้งนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเมสซีไปตลอดกาล
หนึ่งในคำแนะนำของโพเซอร์ที่มีต่อเมสซีและความจริงก็เป็นหลักพื้นฐาน คืออาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากคือศัตรูหมายเลขหนึ่งต่อการซ่อมแซมและเสริมสร้างประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ
เรื่องบางเรื่องสำหรับคนบางคน ถ้าคนอื่นพูดอาจไม่เชื่อ เมสซีก็เช่นกันครับ ใครพูดเรื่องนี้เขาไม่เชื่อ แต่เมื่อโพเซอร์พูด คราวนี้เขาเชื่อ
จากคนที่ตามใจปาก เมสซีกลายเป็นคนใหม่ที่ดูแลร่างกายตัวเองดีขึ้น อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นโคลา น้ำหวาน น้ำอัดลม พิซซ่า พาสต้า รวมถึงจานเนื้อสุดโปรด (ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับชาวอาร์เจนตินาที่ชอบทานเนื้อมากกว่าอะไรบนโลก แต่เนื้อนี่แหละคือตัวที่จะทำให้ร่างกายทำงานหนักในการย่อยเนื้อชิ้นใหญ่ๆ) ทั้งหมดนี้ถูกเขาตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด จะมีบ้างที่ยอมให้มาพบหน้ากันบ้างในโอกาสพิเศษที่จะไม่กระทบต่อช่วงที่ต้องลงสนาม
เมสซีเปลี่ยนมาทานผลไม้สด, ผลไม้อบแห้ง, ถั่ว, เมล็ดธัญพืช และสลัดที่จะราดหน้าด้วยน้ำมันมะกอกเท่านั้น
สำหรับน้ำอัดลมทั้งหลาย เขาทดแทนมันด้วยเครื่องดื่มท้องถิ่นสไตล์ชาวละตินอเมริกันคือกาแฟเข้มข้นที่ผสมด้วยชา
ด้วยการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทำให้ในฤดูกาลหลังฟุตบอลโลก เมสซีกลับมารายงานตัวด้วยสภาพร่างกายที่เบาลงถึง 3 กิโลกรัม และในฤดูกาลนั้นเขาพาทีมคว้า 3 แชมป์ได้ในฤดูกาลเดียว (ลาลีกา, โกปา เดล เรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก)
และหลังจากนั้นเมสซียังปฏิบัติตามคำแนะนำของโพเซอร์อย่างเคร่งครัด ทำให้สามารถรักษาน้ำหนักเอาไว้ได้ที่ 67 กิโลกรัม ซึ่งเป็นน้ำหนักที่เหมาะสมกับร่างกายที่สูง 5 ฟุต 5 นิ้ว และมันได้ช่วยลดอาการบาดเจ็บของเขาลงได้อย่างมาก หลังก่อนหน้านี้ 7 ปี ในช่วง 2006-2013 เขาได้รับบาดเจ็บมากถึง 11 ครั้ง ซึ่งมีทั้งหนักและเบาแตกต่างกันไป
นอกจากนี้มันยังทำให้เขาสามารถหยุดพฤติกรรมประหลาดในการอาเจียนอย่างหนักช่วงก่อนลงสนามบางนัดที่เคยเป็นข่าวครึกโครมได้ด้วย
แน่นอนครับว่าการที่คนระดับเมสซีทำขนาดนี้ เขาย่อมมีเป้าหมาย
แต่เป้าหมายนั้นไม่ใช่แค่การยืดระยะเวลาในการรักษาสถานะความเป็นหนึ่ง
คนระดับเมสซีเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และพิเศษกว่านั้น
เป้าหมายสุดท้ายของเมสซี
กับคนที่พิชิตเกือบทุกอย่างบนโลกลูกหนังมาแล้ว และครองความเป็นหนึ่งมายาวนานในความรู้สึกของแฟนฟุตบอลจำนวนมาก เราอาจคิดว่าสิ่งเดียวที่เขาขาดคือการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ซึ่งจะเป็น ‘มงกุฎสุดท้าย’ ที่จะทำให้ชื่อของ ลิโอเนล เมสซี สามารถยืนหยัดเคียงข้าง เปเล และ ดิเอโก มาราโดนา ได้
และการที่เขาหันมาดูแลร่างกายตัวเองอย่างเคร่งครัดก็น่าจะเพื่อการนี้เหมือนกัน
ดูเหมือนเราอาจจะคิดผิดกันครับ เพราะสำหรับเมสซีเวลานี้ โทรฟีใบใหญ่ที่สุดของเขาอาจจะไม่ใช่โทรฟีสีทองใบนั้นอีกแล้ว
รางวัลที่มีความหมายมากที่สุดสำหรับเขาคือ ‘ติอาโก’ ลูกชายคนโตที่กำลังโตวันโตคืนในวัย 5 ขวบ และจะอายุครบ 6 ขวบในเดือนหน้า (พ.ย. 2018)
ด้วยวัยนี้ เจ้าหนูติอาโกเริ่มรู้เรื่องแล้ว และสิ่งที่เขาสนใจก็คือการติดตามทีมบาร์เซโลนาและทีมชาติอาร์เจนตินา หรือพูดง่ายๆ คือติดตามผลงานของพ่ออย่างใกล้ชิด และสำหรับเมสซี นอกจากคำแนะนำของนักโภชนาการโพเซอร์แล้ว ลูกชายคนโตคนนี้ก็เป็นอีกคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล
“นับตั้งแต่ที่ติอาโกเกิด ผมพยายามที่จะรับมือกับความพ่ายแพ้ในรูปแบบที่แตกต่าง” เมสซีเล่าถึงลูกชาย “แต่มันก็เป็นเรื่องยาก เวลาแพ้ผมจะเสียใจหนักมาก และรู้สึกเป็นเรื่องยากมากที่จะดึงตัวเองกลับมาได้ ผมอาจจะใช้เวลาหลายวันและติอาโกก็เข้าใจดี
“เขาเริ่มชอบฟุตบอล และเขาก็ติดตามอาร์เจนตินากับบาร์เซโลนา โดยหลังการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะคุยกับผมเรื่องพวกนี้ แต่บางทีเขาก็เผลอ แล้วเขาก็นึกได้ว่า อ่า…ผมรู้ว่าเราไม่ควรจะคุยกันเรื่องนี้”
แต่การที่ลูกชายหันมาสนใจฟุตบอลและสนใจในผลงานของพ่อแบบนี้ ทำให้เมสซีเริ่มคิดอะไรบางอย่างออก
อย่างน้อยในระหว่างที่เขายังรักษาระดับฝีเท้า โดยที่ร่างกายยังไม่ได้ทรยศต่อพรสวรรค์มากนัก เขาอยากจะคว้าแชมป์ให้ได้ โดยเฉพาะกับโทรฟีแชมเปี้ยนลีก ที่ติอาโกยังจำความไม่ได้ในช่วงเวลาที่เมสซีนำบาร์ซาพิชิตยุโรป
มันคงจะดีหากสามารถชูถ้วยยูโรเปียนคัพในสนามเมโทรโปลิตาโน สนามของทีม ‘ตราหมี’ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นสังเวียนตัดสินนัดชิงแชมเปี้ยนลีกประจำฤดูกาลนี้ ต่อหน้าติอาโกที่เฝ้าจับตาเขาและบาร์เซโลนาอยู่
และมันอาจจะดียิ่งขึ้นหากสุดท้ายแล้วเมสซียังไม่ถอดใจจากอาร์เจนตินา และพาทีมพิชิตโทรฟีระดับชาติให้ได้สักใบ ไม่ว่าจะเป็น โคปา อเมริกา ซึ่งมีโอกาสมากกว่า หรือฟุตบอลโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า ที่หวังว่าการดูแลร่างกายอย่างดีจะทำให้เขารักษาสภาพร่างกายและฝีเท้ามหัศจรรย์เอาไว้ให้ได้มากที่สุด
เมสซีทำเพื่อตัวเอง เพื่อสโมสร เพื่อทีมชาติ และเพื่อแฟนฟุตบอลมานานแล้ว
ครั้งนี้เขาอยากทำเพื่อลูกๆ ของเขาบ้าง โดยเฉพาะ ติอาโก ที่เขาอยากมอบความทรงจำที่งดงามที่สุดไว้ให้ลูกเป็นของขวัญ ให้ได้รู้ว่าพ่อของเขานั้นเก่งกาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน
อย่าได้แปลกใจกับท่าฉลองประตูใหม่กับท่าเสยผมหน้ากระจก
เพราะนั่นคือสิ่งที่เมสซีอยากมอบประตูเหล่านี้ให้แก่ติอาโก ตามคำสัญญาว่าจะทำท่านี้ทุกครั้งที่เขาทำประตูได้
และนี่คือเป้าหมายสุดท้ายของเมสซี
กับการบอกให้ลูกได้รู้ว่าเขารักมากแค่ไหน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- www.dailymail.co.uk/sport/football/article-6257997/Lionel-Messi-drastic-diet-changes-prolong-career-remain-game.html
- www.independent.co.uk/sport/football/european/lionel-messi-barcelona-forwards-nutritionist-reveals-the-diet-behind-the-worlds-greatest-player-a7006706.html
- www.hindustantimes.com/football/how-lionel-messi-solved-his-vomiting-problem/story-17Gnm4Smy7wyNYMIhRV0fM.html
- workoutinfoguru.com/lionel-messi-diet-plan
- ปัจจุบันเมสซีเลิกกิจวัตรในการเดินทางไปพบจิวลิอาโน โพเซอร์แล้วครับ หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมบาร์เซโลนาคนใหม่ต่อจาก อันเดรส อิเนียสตา ที่อำลาทีมไป เนื่องจากต้องการแสดงจุดยืนให้เห็นว่าเขาพร้อมทำตามคำแนะนำของนักโภชนาการประจำทีมคนปัจจุบันคือ ดร.มาเรีย อันโตเนีย ลาซาร์รากา ดาโญ
- คำแนะนำของ ดร.มาเรีย แทบไม่ต่างจากโพเซอร์ และหนึ่งในคำแนะนำคือ ผู้เล่นทุกคนควรจะได้เติมพลังทันทีหลังจบเกมด้วยพาสต้า สลัด หรือซูชิ เพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสีย (สำหรับคุณผู้ชายที่ชื่นชอบการเตะฟุตบอล นี่อาจใช้เป็นข้ออ้างดีๆ ในการไปหาอะไรกินต่อกับเพื่อนหลังจบแมตช์ครับ)
- เชื่อกันว่าหากเมสซียังใช้ชีวิตแบบเก่า บางทีโลกฟุตบอลอาจสูญเสียนักเตะพรสวรรค์สูงสุดคนนี้ไปก่อนวัยอันควร เหมือนที่เราเคยสูญเสีย ดิเอโก มาราโดนา และสตาร์พรสวรรค์อีกมากมายที่ไม่ดูแลตัวเอง
- เมสซียังไม่ประกาศการตัดสินใจว่าจะยังเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาต่อหรือไม่ แต่มีการเชื่อกันว่าหากเขากลับมาลงเล่นและสามารถพาทีมคว้าแชมป์โคปา อเมริกาได้ในปีหน้า (2019) เมสซีอาจประกาศอำลาทีมชาติทันที