หลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อย่าน ‘นางเลิ้ง’ ไม่ว่าจะด้วยเพราะเป็นต้นกำเนิดของกล้วยแขกนางเลิ้ง หรือเป็นที่ตั้งของตลาดนางเลิ้งที่มีอาหารอร่อยมากมายให้ลองมาลิ้มรส รวมทั้งแลนด์มาร์กสำคัญที่ต้องนึกถึงเสมอของย่านนี้อีกอย่างก็คือ ‘สนามม้านางเลิ้ง’ นั่นเอง
ผู้เขียนเคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้มานาน แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้แวะเวียนเข้าไปสัมผัสบรรยากาศสักครั้ง เคยแต่นั่งรถผ่านพร้อมๆ กับหันมองป้ายที่เขียนไว้ด้านหน้าซึ่งระบุชื่อสถานที่แห่งนี้อย่างเป็นทางการว่า ‘ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์’
กระทั่งเมื่อต้นปีมีรายงานข่าวปรากฏตามสื่อเป็นการทั่วไปว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ส่งหนังสือถึงราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อบอกเลิกสัญญาเช่าและขอให้ส่งมอบสถานที่
ความหมายก็คือสถานที่แห่งนี้ซึ่งมีอายุ 102 ปีจะต้องปิดตัวลงตามกรอบเวลาการส่งมอบพื้นที่ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางมาสัมผัสสนามม้านางเลิ้งเป็นครั้งแรก และกลายเป็นครั้งสุดท้ายไปพร้อมๆ กัน
‘นัดสั่งลา’ เซียนม้า-แฟนอาชาแน่นสนาม
การแข่งขันในวันนี้ถือว่าเป็นนัดสั่งลา เซียนม้าและแฟนอาชาทุกคนหลั่งไหลมาที่นี่ มีผู้เข้าชมในสนามกว่า 5 พันคน รถติดยาวเหยียดจากข้างในล้นไปถนนด้านนอก สื่อมวลชนรายงานข่าว ช่างภาพกดชัตเตอร์เลือกเก็บช็อตต่างๆ เพื่อส่งท้ายความทรงจำครั้งนี้
“ครั้งสุดท้ายแล้วหนุ่ม ลุงมาตั้ง 30 กว่าปี ตั้งแต่สมัยรุ่น” ชายสูงอายุเสื้อลายทักทายผู้เขียนที่ไปยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บริเวณที่รถบรรทุกลำเลียงม้าแข่งมาจากคอกต่างๆ เพื่อเข้าไปยังสนามพักม้า คุณลุงเสื้อลายคนเดิมยังตะโกนเสียงดังในเชิงห่วงใยว่า “ระวังม้าดีด ตายเลยนะเว้ย”
ม้าแต่ละคอกถูกลำเลียงจากรถบรรทุกมุ่งตรงมาที่สนามไทย ซึ่งเป็นชื่อเล่นของสนามม้านางเลิ้ง แม้เป็นนัดสั่งลา แต่บรรดาโพยเล่ม หนังสือโปรแกรมแข่งขันที่ระบุม้าเต็งและม้าลักษณะต่างๆ ก็ยังขายดีเหมือนเช่นเคย สนนราคาตั้งแต่ 20-40 บาท หลายเจ้าพิมพ์ว่าครั้งนี้เป็นฉบับ ‘สั่งลา’ เช่นเดียวกัน
นี่แค่เรื่องราวเริ่มต้นที่ผู้เขียนรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับโลกอีกใบที่ทับซ้อนอยู่ในโลกประจำวันของเรา
ผู้เขียนสาวเท้าก้าวยาวๆ ซอกแซกไปดูนั่นดูนี่ในมุมต่างๆ ของสนามม้า เพราะไม่เคยเข้ามาเยือน ยิ่งไม่เคยเห็น ยิ่งอยากจดจำ อยากสัมผัส หากแต่คนรุ่นลุงรุ่นปู่เฉยเมย จับจ้องอยู่ที่ ‘ม้า’ พร้อมกับกระดาษปากกาและการวิเคราะห์ เล่าสู่กันฟังถึงรายละเอียดม้าที่จะเข้าซองแข่งวันนี้
โอ้! เราไปอยู่ที่ไหนมา ผู้เขียนได้แต่อุทานในใจ เพราะนั่งรถผ่านแทบทุกสัปดาห์ แต่หารู้ไม่ว่าความสุขรายสัปดาห์เกิดขึ้นที่นี่มานานแล้ว
แต่จะเข้าไปในสนามม้าก็ต้องตีตั๋วกันสักหน่อย ช่องจำหน่ายตั๋วนั้นสนนราคาบัตรสำหรับเซียนม้าทั้งขาจรและขาประจำอยู่ที่ราคา 50 และ 100 บาท ลดหลั่นกันตามความใกล้ไกลในการรับชม หรือเพิ่มอีก 30 บาทเป็นค่าเช่ากล้องส่องทางไกล อุปกรณ์คู่กายที่ของมันต้องมี
แทงม้า ความสุขรายสัปดาห์ แทงวิน-แทงเพลส
เมื่อเข้าสู่ภายในสนาม ผู้เขียนยิ่งตื่นตาตื่นใจมากขึ้นไปอีก อาณาจักรย่อมๆ ของวงการม้าแข่งไทยอัดแน่นไปด้วยนักเสี่ยงโชคผู้แสวงหาความสุขจากการเล่นม้า
ราคาตั๋วเข้าสนามม้ายังมีแพงสุดคือ 300 บาท เรียกว่าโซนแอร์ หรือวีไอพี ส่วนใหญ่ไฮโซคนรุ่นเก่าที่มีเงินจะนัดพบปะตั้งวงสนทนา พร้อมดูม้าแข่งกันที่นี่
โดยปกติแล้วม้าแข่งจะถูกปล่อยออกจากจุดปล่อยม้าหรือซองม้าเที่ยวละ 14 ตัว แต่เนื่องจากนัดนี้เป็นการแข่งขันนัดพิเศษ คณะกรรมการอำนวยการฯ จึงมีมติให้เพิ่มการปล่อยม้าเป็น 15 ตัวในแต่ละเที่ยว พร้อมกับจ่ายรางวัลดับเบิลทุกขั้นตอน
ม้าจะทำการแข่งวันละ 10 เที่ยว แต่ละเที่ยวมีม้าลงแข่งประมาณ 10-14 ตัว โดยระบุหมายเลขต่างๆ ตามจำนวนม้าที่เข้าซอง
สงสัยกันใช่ไหมว่าการแทงม้า เล่นม้า พนันม้า เขาทำกันอย่างไร
ผู้เขียนต้องขอออกตัวก่อนว่าใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่นานพอสมควร ไม่ง่ายเลยที่จะเสี่ยงโชครับทรัพย์
แต่การพนันม้าในสนามม้านั้นถือว่าถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ แต่ก็มีบ้างที่มีการลักลอบตั้งวงโต๊ดเถื่อน รับแทงเอง ไม่ผ่านจุดจ่ายเงินของสนามม้า ที่ผ่านมามีความพยายามกวาดจับอยู่หลายหน
สำหรับการแทงม้านั้น หลักๆ จะเรียกว่ามีการเล่นอยู่ 2 แบบคือ ‘วิน’ กับ ‘เพลส’ โดยปกติการแข่งม้าแต่ละเที่ยวจะมีม้าชนะ หรือเรียกว่าม้าเข้าวินเพียงตัวเดียว คือผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้เล่นจะแทงม้าวินกี่ตัวก็ได้ ส่วนใหญ่ผู้เล่นมือเติบมักจะชอบเสี่ยงราคาขั้นต่ำของการเล่นที่ 100 บาทขึ้นไป
ส่วนการแทงเพลส ผู้เล่นส่วนใหญ่จะเป็นคนมักน้อย การเล่นจะต้องแทงม้าให้เข้าเส้นชัยเรียงตามลำดับตั้งแต่ตำแหน่ง 1, 2, 3 ม้าเบอร์ไหนที่เราเลือกเล่นเข้าตามลำดับก็จะได้เงินรางวัลไป
ผู้เล่นสามารถเลือกแทงวินและเพลสในม้าเบอร์เดียวกันได้ด้วย แต่รางวัลที่ได้รับก็จะขึ้นอยู่กับอัตราการจ่ายที่แจ้งไว้บนบอร์ด
ผู้เขียนในฐานะมือสมัครเล่นได้ลองเสี่ยงโชคเป็นประสบการณ์ไว้ด้วย ไม่ต้องถามว่าผลเป็นเช่นใด เพราะคิดเพียงเล่นเอาสนุกเท่านั้นเอง ขอยืนยัน
ส่วนกรอบเวลาการเล่นหรือแทงม้านั้น โฆษกสนามจะประกาศเชิญชวนให้ท่านเข้าร่วมล่าเงินรางวัล โดยจะประกาศเชิญชวนอยู่หลายหน “5 นาทีสุดท้าย ขอเชิญทุกท่านรีบซื้อตั๋ว” “กำลังจะนับถอยหลัง อย่าลืมไปที่ตู้ซื้อตั๋วด่วนครับ” และเมื่อโฆษกสนามนับถอยหลัง 60 วินาทีจนถึง 0 เครื่องจำหน่ายตั๋วที่มีคนขายตั๋วคอยบริการและควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถจำหน่ายตั๋วได้จนกว่าจะเริ่มการแข่งม้าเที่ยวใหม่
การจะดูว่าม้าแข่งตัวไหนเป็นม้าวินหรือม้าชนะตามลำดับ ผู้ชมและเซียนพนันสามารถดูได้จากบอร์ดหรือฟังการขานจากโฆษกว่า “ม้าถูกต้องแล้ว” เป็นอันเสร็จสิ้น ก็สามารถถือตั๋วไปขอขึ้นเงินหรือขยำทิ้งเพื่อพักใจแล้วรอเสี่ยงโชครอบใหม่ต่อไป
อาณาจักรใจของคนใกล้ฝั่ง ความสุขของนักเสี่ยงโชค
ความตื่นตาตื่นใจของผู้เขียนไม่หยุดอยู่แค่นั้น บรรยากาศภายในสนามแข่งที่เป็นอาคารสูงหลายชั้นคลาคล่ำไปด้วยเซียนม้า-แฟนอาชาที่จับจดอยู่กับโพยและโปรแกรมการแข่งขัน สายตาจับจ้องที่บอร์ดของสนาม บางส่วนนั่งพักที่ม้านั่งยาว ดูรายละเอียดม้าแต่ละเที่ยวผ่านจอทีวี
จังหวะนี้จึงถือโอกาสพูดคุยกับคุณลุงท่านหนึ่งที่นั่งจดสิ่งละอันพันละน้อยลงในกระดาษที่ถือในมือ “อยากรู้อะไร” คุณลุงเอ่ยทันทีเมื่อสังเกตเห็นอาการผู้เขียน จากนั้นคุณลุงเล่าต่อโดยไม่ต้องถามอีก “ลุงมาที่นี่เกือบ 30 ปีแล้ว พูดกันตรงๆ เคยได้ยินไหม คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น คนแก่เล่นม้า (หัวเราะ) ที่นี่มันเป็นสุสานคนแก่”
คุณลุงขยายความให้ฟังว่า “สมัยรุ่นๆ วิ่งเข้าวิ่งออกที่นี่ ก็ไม่รู้ยังไง เมื่อก่อนมันมีไม่กี่ที่มั้งที่บันเทิงใจเราได้ สมัยนี้คนหนุ่มสาวเขาก็แทงบอล เล่นอะไรตามยุคของเขา
“เวลามาที่นี่มันปลดปล่อยนะ มันมีความสุข มันสนุก ก็ผูกพัน ข้าวที่นี่อร่อยกว่าข้าวที่เมียทำเอง อย่าให้เมียรู้นะเว้ย”
สายตาที่ผู้เขียนเห็นจากการสังเกตเรื่องราวตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามามันให้ความรู้สึกเหมือนรังสีความสุขในแบบของคุณลุงแผ่ออกมาถึงทุกคนและปกคลุมพื้นที่เต็มไปหมด
อายุอานามของเซียนม้าส่วนใหญ่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง แถมเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
สถานที่แห่งนี้นับว่าเป็น ‘อาณาจักรใจ’ ที่ผ่อนคลายจากโลกภายนอกอันแสนวุ่นวายของคนรุ่นนี้ แม้ในความเป็นจริงโลกข้างในก็แทบจะวุ่นวายไม่ต่างกัน
เวลาทุกช่วงของการแข่งม้าแต่ละเที่ยวถูกใช้ไปอย่างเข้มข้นชนิดที่ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดหายไป
สติ สมาธิ และความจำของคนรุ่นปู่รุ่นย่ายังแจ่มชัด จำชื่อหมายเลขม้า ชื่อม้าที่ประหนึ่งชื่อนักมวยได้อย่างแม่นยำ แถมมองระยะไกลยังรู้เลยว่าม้าตัวที่เชียร์อยู่ตรงไหนในกลุ่มที่กำลังวิ่งออกจากซอง
ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่อัฒจันทร์พร้อมๆ กับการตะเบ็งเสียงเชียร์ บ้างลุกขึ้นกระโดดตัวลอยเมื่อม้าที่เชียร์เข้าวิน พลังเหลือล้นมหาศาลสวนทางกับสังขารธรรมชาติ และสวนทางกับ ‘เวลา’ ที่มีแต่จะน้อยลงทุกที
ทุกสิ่งดูเหมือนจะถูกกดปุ่มหยุดให้อยู่ ‘เหนือกาลเวลา’ และราวกับว่าการแข่งขันนัดนี้จะไม่ใช้นัดสั่งลา เพราะทุกคนยังเต็มที่เหมือนทุกนัดที่ผ่านๆ มา
อนาคตจะไปอย่างไรต่อ วงจรม้า วงจรคนนับแสน
4 ตุลาคม 2561 คือวันสุดท้ายที่สนามม้านางเลิ้งจะต้องส่งมอบสถานที่ตามกรอบเวลา ผู้เขียนมีโอกาสพูดคุยกับคนในที่ผูกพันอยู่กับสายงานหรือหากินอยู่กับสถานที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน
พลายเพชร อายุ 55 ปี อดีตจ๊อกกี้ชื่อดัง ปัจจุบันผันตัวมาเป็นโค้ชปั้นจ๊อกกี้ดาวรุ่ง มีประสบการณ์แข่งม้ามาตั้งแต่ปี 2522 บอกว่านอกจากจะรู้สึกใจหายแล้ว รายได้หลักที่ใช้จุนเจือชีวิตก็หายไป
พลายเพชรบอกว่าจ๊อกกี้ส่วนใหญ่ที่นี่แข่งม้าเป็นอาชีพหลัก รายได้ไม่มากนัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลด้วย สนามม้านางเลิ้งปิดไปก็คงต้องรอความชัดเจนว่าเขาจะให้ไปจัดแข่งที่ไหน อาจจะเป็นสนามฝรั่ง (ราชกรีฑาสโมสร) แต่ระหว่างรอความชัดเจนพวกเราก็คงลำบากขึ้น
แหล่งข่าวระดับสูงของสนามม้านางเลิ้งบอกกับผู้เขียนว่า การปิดสนามม้าครั้งนี้จะทำให้วงจรชีวิตของคนทำงานและวงศ์วานว่านเครือของหลายปากท้องต้องกระทบเกือบแสนราย
ความพยายามที่จะช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้จึงต้องหาทางออกโดยเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีตัวแทนจากชมรมสมาคมม้าแข่งไทยเดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว เพื่อขอให้แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพนันแข่งม้า พ.ศ. 2524 โดยอนุญาตให้สนามฝรั่ง หรือราชกรีฑาสโมสร จัดแข่งม้าได้ทุกสัปดาห์ โดยมีสมาคมม้าแข่งไทยเป็นผู้ดำเนินการ ขณะนี้ยังรอคอยคำตอบอยู่
ขณะที่หลายคนมักมองว่าสนามม้าเป็นสถานที่ของการพนัน เสียงสะท้อนจากหลายคนที่นี่บอกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น แต่ต้องลองมาสัมผัสดูเอาเอง เพราะการแข่งม้านั้นปัจจัยไม่ได้อยู่แค่จ๊อกกี้ แต่อยู่ที่ฝีเท้าของม้าด้วย
จะออกปาก เอ่ยลา น้ำตาไหล
“จะออกปาก เอ่ยลา น้ำตาไหล” คือประโยคสั้นๆ จากเสธ.อ้าย พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ รองประธานบอร์ดราชตฤณมัยสมาคมฯ ในฐานะตัวแทนผู้บริหารระดับสูง พูดถึงสถานที่ที่เขาผูกพันมาช้านาน
เช้าวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2561 สนามม้านางเลิ้งเปิดทำการตามรอบการแข่งม้าปกติ คือทุกวันอาทิตย์ของสัปดาห์เว้นสัปดาห์ เซียนม้าหรือแฟนอาชาแห่แหนมาที่สนามม้าในเช้าวันนี้อย่างหนาแน่น
ท้องฟ้าที่สนามม้านางเลิ้งวันนี้สดใสไม่ต่างจากวันเก่าๆ หากแต่เรื่องราวของวันถัดไปจะไม่เหมือนเดิมตลอดกาล เพราะทุกคนรู้ว่าการแข่งขันในวันนี้คือนัด ‘สั่งลา’
หนังสือโปรแกรมแข่งม้าเล่มหนึ่งที่วางขายบนแผงจั่วหัวถึงบรรยากาศวันนี้ตัวโตว่า ‘อำลาอาลัยสนามม้านางเลิ้ง แต่นี้ต่อไปไม่มีเธอ’
เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคนในวงการม้าแข่งไทยคงไม่อยากให้วันนี้มาถึง แต่เมื่องานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา สนามม้านางเลิ้งก็ใช่จะอยู่ยั้งยืนยง แม้จะได้ยืนหยัดตั้งตรงอยู่คู่สังคมไทยมานานกว่า 102 ปีแล้วก็ตาม
สำหรับราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียกกันติดปากทั่วไปว่าสนามม้านางเลิ้ง มีชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งที่เซียนม้าเรียกขานก็คือ ‘สนามไทย’ สาเหตุเพราะกรุงเทพมหานครมีสนามม้าอยู่ 2 สนาม นอกจากที่นี่แล้วอีกแห่งคือราชกรีฑาสโมสร หรือเรียกว่า ‘สนามฝรั่ง’ ทั้งสองสนามจะสลับกันแข่งในแต่ละเดือน ตกสนามละ 2 วงรอบ
นี่จึงกลายเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ แม้ว่าจะยังมีสนามม้าแห่งอื่นๆ แต่เซียนม้าหลายคนก็บอกกับผู้เขียนว่า “อดใจหายไม่ได้” “รู้สึกเศร้าใจ” “วันนี้ลุงก็บอกเพื่อนๆ ว่าให้มาเจอกันหน่อย นัดสุดท้ายของสนามไทยแล้วเว้ย”
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์