ทันทีที่ ปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุล ปรากฏตัวออกมาในบท ก๋วยเตี๋ยว เด็กหนุ่มผู้มองโลกในแง่ดีแห่งตระกูลจิระอนันต์ จากละคร เลือดข้นคนจาง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาก็เข้าไปอยู่ในหัวใจของใครหลายคนได้โดยไม่รู้ตัว
ปอร์เช่ถือว่าสอบผ่านในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากพาร์ตการแสดงที่ถูกเคี่ยวกรำมาอย่างหนัก ‘ตัวตน’ ของเขาที่ถูกส่งผ่านไปยังก๋วยเตี๋ยวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฉิดฉายได้ท่ามกลางทัพนักแสดงรุ่นใหญ่ในเรื่อง
เพื่อส่องแสงให้สว่างยิ่งขึ้นไปอีก THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับปอร์เช่เพื่อทำความรู้จักเบื้องหลังรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ซึ่งมาจากพื้นฐานการมองโลกในแง่ดี รวมทั้งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เด็กติดเกมตั้งแต่อายุ 8 ขวบลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง หลังได้รับโอกาสสำคัญในการเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของโปรเจกต์ 9×9 จากค่าย 4NOLOGUE ที่มีเป้าหมายใหญ่ในการพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่อย่างเต็มรูปแบบให้มีความสามารถทัดเทียมศิลปินต่างชาติ และเปลี่ยนกระแสวงการเพลงให้เพลงไทยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ในมุมมองของปอร์เช่ ตัวละครก๋วยเตี๋ยวเป็นคนแบบไหน
ก๋วยเตี๋ยวเป็นเด็กที่พ่อแม่เสียชีวิต อาม่ารับมาเลี้ยงให้อยู่ในตระกูลจิระอนันต์ พอมาอยู่ในบ้าน ภาพลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวเป็นสายศิลปิน ชอบวาดรูป ฟังเพลง และเป็นคนที่คิดบวกมาก เขาคิดอย่างเดียวว่าอยากเห็นทุกคนมีความสุข ซึ่งค่อนข้างตรงกับตัวผม เพราะทีมเขียนบทของ เลือดข้นคนจาง จะรีเสิร์ชก่อนว่าเราเป็นคนแบบไหน ซึ่งพื้นฐานของผมก็เป็นแบบนั้นเลย แค่อาจจะมีความสุขและคิดบวกน้อยกว่าก๋วยเตี๋ยวนิดหน่อย
พื้นฐานการเป็นคนคิดบวก ไม่อยากให้คนรอบตัวเครียดของปอร์เช่มาจากไหน
นึกไม่ออกเลยครับ เหมือนอยู่ดีๆ มันก็มาอยู่ในความคิดของผมแล้ว รู้สึกว่าเวลาผมเห็นคนอื่นทุกข์แล้วจะนอยด์ไปด้วย ไม่ชอบให้บรรยากาศรอบตัวดูเครียด สมมติเวลาอยู่กับคนเยอะๆ แล้วมีคนหนึ่งเครียดขึ้นมา บรรยากาศมันจะดาวน์ไปทั้งวงเลย แต่ถ้าเราทำให้ใครสักคนมีความสุขได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเหมือนกัน และในทางกลับกัน ถ้าผมมีเรื่องเครียดก็จะเก็บเอาไว้ เพราะไม่อยากให้คนอื่นนอยด์ไปด้วย ซึ่งเท่าที่จำได้ผมก็เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ
มีเรื่องอะไรที่ทำให้คนคิดบวกอย่างปอร์เช่เครียดได้บ้าง
การเข้ามาในโปรเจกต์ 9×9 นี่แหละครับ (หัวเราะ) เวลามีการทดสอบความสามารถด้านต่างๆ ผมจะโดนว่าบ่อย ทำให้นอยด์ไปบ้าง แต่นอยด์วันเดียวก็หาย เพราะเวลานอยด์แล้วคนอื่นชอบมาถามว่า เฮ้ย มึงเป็นอะไรวะ พอไม่อยากให้คนอื่นเครียดบวกกับขี้เกียจอธิบาย ก็เลยคิดว่าควรเลิกนอยด์ซะ แล้วเอาคอมเมนต์ต่างๆ มาพัฒนาตัวเอง จะได้จบๆ กันไป (หัวเราะ)
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในโปรเจกต์ 9×9 พื้นฐานการร้อง การเต้น และการแสดงของปอร์เช่ถือว่าอยู่ในระดับไหน
การเต้นมีอยู่แล้ว การร้องพอมีบ้างจากตอนเป็นศิลปินที่ค่ายเก่า แต่เรื่องการแสดงนี่เป็นศูนย์เลย
ถ้าอย่างนั้นอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหันมาสนใจงานด้านการแสดง
เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ต้องย้อนไปตั้งแต่ตอนประมาณ 8 ขวบที่ผมเป็นเด็กติดเกมมาก ถ้าช่วงปิดเทอมจะทำแค่ 3 อย่างคือตื่น เล่นเกม แล้วก็นอน จนแม่เป็นห่วง คิดว่าต้องพาผมไปทำอะไรสักอย่าง เลยพาไปเข้าคอร์สเรียนเต้น ซึ่งตอนแรกผมต่อต้านเลยนะ อยากอยู่บ้านเล่นเกมอย่างเดียว แต่แม่ก็พาผมไปจนได้
ปรากฏว่าไปเรียนครั้งแรกแล้วการเต้นกลายเป็นอีกอย่างที่ผมชอบมากขึ้นมาเลย เพราะผมไม่เคยเจอสังคมแบบนี้มาก่อน เมื่อก่อนเรารู้จักแต่คนในโลกออนไลน์ แต่อันนี้ได้มาเจอคนจริงๆ ในสถานที่จริง ได้ใช้ร่างกายของเราจริงๆ เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมชอบการเต้นมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ยังไม่ได้คิดจริงจังมาก เพราะอีกทางหนึ่งก็ยังชอบเล่นเกมอยู่ดี
เรียนมาเรื่อยๆ จนอายุ 14-15 ปี เริ่มคิดว่าการเต้นของเราน่าจะทำอะไรสักอย่างได้ ไม่ใช่เรียนไปวันๆ อย่างเดียว แล้วช่วงนั้นมีคุณครูบอกว่ามาเรียนร้องเพลงเพิ่มไหม ที่ค่ายเก่ากำลังเปิดรับสมัครศิลปิน ถ้ามีสกิลด้านนี้จะพาไปออดิชัน ผมสนใจ ก็เลยไปเรียนร้องเพลงเพิ่ม ไปออดิชันจนติด
แต่ช่วงแรกก็ยังไม่ได้มีแพสชันมากไปกว่าอยากให้การเต้นช่วยให้เราได้อะไรกลับคืนมาจากเวลาที่เสียไป แต่พอได้ฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ ความเป็นศิลปินก็เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นเราอยากเก่ง อยากทำให้ดี แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้โอกาสเท่าที่ควร สุดท้ายก็โดนคืนสัญญา กลายเป็นกลับมาเคว้งคว้างอีกรอบหนึ่ง
กลับมาเป็นเด็กติดเกมอีกรอบไหม
ไม่แล้วๆ (หัวเราะ) ยังมีเล่นอยู่บ้าง แต่น้อย เพราะหันไปโฟกัสกับการเรียนมากกว่า มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมกลับมามองตัวเองแล้วรู้สึกว่านี่เราเสียเงิน เสียเวลาให้กับอะไรแบบนี้ไปโดยที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมานานเท่าไรแล้ววะ ทำไมเราไม่เอาเวลาที่เล่นเกมไปพัฒนาตัวเอง ไปแข่งเต้น ไปแข่งกีฬาที่มีประโยชน์มากกว่านี้
จนมาเจอจุดเปลี่ยนอีกครั้งคือตอนอายุ 18 พี่วุธ (อนุวัติ วิเชียรณรัตน์ ผู้ก่อตั้งบริษัท 4NOLOGUE) เขาทักมาบอกว่ากำลังทำโปรเจกต์พัฒนาศิลปิน 9×9 อยู่ สนใจมาออดิชันดูไหม พอรู้ภาพทั้งหมด รวมทั้งผมรู้จักพี่วุธและผลงานพี่เขาอยู่แล้ว คิดเลยว่าโปรเจกต์นี้ต้องสุดแน่นอน เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ลองจุดไฟความเป็นศิลปินขึ้นมาอีกครั้งในโปรเจกต์นี้แล้วกัน
พอเข้ามาในโปรเจกต์จริงๆ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ไฟในการเป็นศิลปินลุกขึ้นมาแบบที่ตั้งใจเลยหรือเปล่า
พรึ่บเลยครับ (หัวเราะ) คิดดูว่าโปรเจกต์นี้ทำให้ผมเลิกเล่นเกมไปได้เลยจริงๆ ที่ผ่านมาผมทำหลายอย่างมากเลยนะ เป็นนักกีฬา เรียน เต้น แต่สุดท้ายสิ่งที่ชอบที่สุดก็ยังเป็นการเล่นเกมอยู่ แต่โปรเจกต์นี้ทำให้รู้ว่าเราเจอสิ่งที่สำคัญกว่าการเล่นเกมแล้วจริงๆ
สิ่งที่ชัดที่สุดคือโปรเจกต์นี้ทำให้ผมพลิกตัวเองกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม การเป็นศิลปินใน 9×9 ผมยังเป็นตัวเองเหมือนเดิมทุกอย่างเลยนะ แต่ความตั้งใจ ความรับผิดชอบ ความเป็นผู้ใหญ่ของผมเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว จากโจทย์เริ่มต้นของค่าย 4NOLOGUE ที่ใหญ่มาก เราต้องการเปลี่ยนตลาดเพลงให้คนมาฟังเพลงไทยมากขึ้น การทำอย่างนั้นได้มันค่อนข้างเรียกร้องคุณภาพจากศิลปินในระดับสูง เมื่อก่อนคิดว่าเราเคยพัฒนาตัวเองมากเท่าไร อันนี้ต้องมากกว่านั้นจนมีคุณภาพทัดเทียมระดับอินเตอร์ได้
เราต้องซ้อมกันทุกวัน วันละ 10 ชั่วโมง เวลาที่คนอื่นเขาได้ไปเที่ยวกันเราก็ไม่มี ชีวิตเรามีแค่เรียนเสร็จแล้วกลับมาซ้อม บางวันมาซ้อมอย่างเดียวก็มี หนักมากนะครับ แล้วก็เครียดมากด้วย แต่เมื่อเราเลือกทางนี้แล้ว เราเปลี่ยนอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด
พูดได้ไหมว่า 9×9 คือโปรเจกต์ที่นับว่าเป็นที่สุดในชีวิตของปอร์เช่แล้ว
ที่สุด ณ ตอนนี้ครับ คือที่ผ่านมาผมไม่เคยพยายามพัฒนาตัวเองมากขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยากมองว่ามันคือที่สุดตลอดไป เพราะจะเป็นการสร้างลิมิตให้ตัวเอง คิดว่าผมยังไปได้มากกว่านี้อีกเยอะ ถึงตอนนี้ขาจะเพิ่งพังจากการซ้อมเต้น แต่ถือว่าเล็กน้อย ศิลปินฝึกหัดเกาหลีเขาต้องซ้อมติดต่อกันมากกว่านี้เยอะจนร่างกายเขาชินกับการทำทุกอย่าง แต่ผมเพิ่งฝึกมาได้เกือบๆ 2 ปี ยังถือว่าอยู่ในจุดเริ่มต้น
ตอนอยู่ค่ายเก่า ปอร์เช่เคยอยู่ในช่วงท้อที่ซ้อมหนัก แต่แทบไม่มีผลงานออกมา พอมาอยู่ในโปรเจกต์ 9×9 ที่ซ้อมหนักมาเกือบ 2 ปี แต่เราแทบไม่เห็นผลงานอะไรออกมาเหมือนกัน ความรู้สึกแบบนั้นกลับมาอีกบ้างไหม
ไม่มีเลย เพราะผมเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกอย่างของโปรเจกต์นี้ เพราะโปรเจกต์นี้เราลงทุนกันด้วยเวลา ในขณะที่คิดว่าเราเสียเวลาซ้อมไปเยอะ คิดกลับกัน บริษัท 4NOLOGUE ก็ต้องเสียเงินให้เราซ้อมร้อง ซ้อมเต้น ซ้อมการแสดงไปโดยที่ไม่มีอะไรตอบแทนเหมือนกัน เขาเสียมากกว่าเราไม่รู้กี่เท่า แต่เขาก็ไม่หยุด แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร
รวมทั้งเพื่อนๆ ในโปรเจกต์ 9×9 ทุกคนที่เป้าหมายสูงสุดในอนาคตอาจไม่เหมือนกัน แต่พอมาอยู่ในโปรเจกต์นี้ ทุกคนมีแพสชันเหมือนกันหมด คือการพัฒนาตัวเองให้มากที่สุด อาจต้องใช้เวลานานหน่อย แต่ทุกอย่างที่ออกมาต้องดีแน่นอน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์