×

เม็กซิโกกลายเป็นผู้ชนะแบบไม่คาดคิด หลังยอดส่งออกไปสหรัฐฯ พุ่งสูงหลังทรัมป์ขึ้นภาษีทั่วโลก จากการเข้าไปแทนที่สินค้าจีน

28.12.2025
  • LOADING...
เม็กซิโกกลายเป็นผู้ชนะแบบไม่คาดคิด หลังยอดส่งออกไปสหรัฐฯ พุ่งสูงหลังทรัมป์ขึ้นภาษีทั่วโลก จากการเข้าไปแทนที่สินค้าจีน

เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐและนักเศรษฐศาสตร์ต่างกังวลว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ายอดการส่งออกของเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ กลับเติบโตขึ้น

 

สาเหตุเป็นเพราะอัตราภาษีสุดท้ายของเม็กซิโกนั้นต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ ความแตกต่างนี้จึงช่วยให้สินค้าส่งออกของเม็กซิโกสามารถเข้าไปเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดที่เกิดจากสินค้าจีนซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า

 

อย่างไรก็ตาม เม็กซิโกยังคงเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปีสำหรับหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาษี 25% สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ, ภาษี 50% สำหรับอะลูมิเนียมและเหล็ก และภาษี 25% สำหรับสินค้าส่งออกที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด USMCA เนื่องจากสหรัฐฯ มองว่าเม็กซิโกยังทำไม่เพียงพอในการสกัดกั้นการไหลของยาเสพติด

 

แต่คู่แข่งรวมถึงจีนต้องเจอกับภาษีที่หนักกว่า ข้อมูลจาก Penn Wharton Budget Model ระบุว่าอัตราภาษีที่แท้จริงของเม็กซิโกอยู่ที่ 4.7% เทียบกับ 37.1% ของจีน ในขณะที่อัตราเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 10%

 

ผู้ผลิตที่ต้องการหาฐานการผลิตเพื่อส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ กล่าวว่า เม็กซิโกยังคงมีข้อได้เปรียบดั้งเดิมที่มีมาก่อนกำแพงภาษี นั่นคือความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ อุตสาหกรรมการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ และข้อตกลงการค้าเสรีที่แม้จะมีความตึงเครียดอยู่บ้างแต่ก็ยังคงมีผลบังคับใช้

 

ข้อมูลจากรัฐบาลเม็กซิโกระบุว่า แม้จะมีการเก็บภาษีสูงในกลุ่มยานยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียมที่จะส่งไปอเมริกา แต่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 9% ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 แม้การส่งออกกลุ่มยานยนต์ไปยังสหรัฐฯ จะลดลงเกือบ 6% ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ กลับพุ่งสูงขึ้นถึง 17%

 

ปริมาณการค้าสินค้าระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกกำลังมุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 9 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้

 

Kathryn Exum หัวหน้าฝ่ายวิจัยพันธบัตรรัฐบาลที่ Gramercy Funds Management ซึ่งบริหารสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่กว่า 7 พันล้านดอลลาร์ กล่าวว่า ธนาคารกลางเม็กซิโกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 0.3% ในปี 2025 ซึ่งถือว่าเติบโตน้อยแต่ก็ยังห่างไกลจากการหดตัว 1% ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

กรณีของบริษัท The Nearshore Co. เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเม็กซิโกรอดพ้นจากสงครามการค้าของทรัมป์ได้อย่างไร บริษัทนี้ช่วยผู้ผลิตต่างชาติผลิตสินค้าเพื่อส่งไปสหรัฐฯ ผ่านเครือข่ายโรงงาน 18 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามแนวชายแดน

 

Jorge Gonzalez Henrichsen ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของบริษัท กล่าวว่าช่วงต้นปีแผนการลงทุนด้านการผลิตจำนวนมากถูกชะลอไว้ จนกว่าบริษัทต่างๆ จะมีความชัดเจนเรื่องระดับภาษีสำหรับเม็กซิโกและประเทศอื่นๆ จนกระทั่งวันที่ 2 เมษายน หรือที่ทรัมป์เรียกว่า ‘วันปลดปล่อย’ (Liberation Day) มาถึง

 

ในวันนั้น ประธานาธิบดียืนอยู่หน้าทำเนียบขาวพร้อมป้ายแสดงอัตราภาษีใหม่สำหรับเกือบทุกประเทศ แต่ ‘ยกเว้นเม็กซิโก’

 

Gonzalez Henrichsen กล่าวว่าเขาได้รับสายโทรศัพท์อย่างล้นหลามทันทีจากผู้ที่ต้องการกลับมาเริ่มโครงการผลิตในเม็กซิโกอีกครั้งหลังจากที่หยุดชั่วคราวเพราะความกังวลเรื่องภาษี ลูกค้าของเขาสรุปได้ว่าเม็กซิโกอยู่ในสถานะที่ดีกว่าคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ มาก รวมถึงคู่แข่งในเอเชีย

 

“จริงๆ แล้ว มันคือวันแห่งการปลดปล่อยสำหรับพวกเราด้วย” Gonzalez Henrichsen กล่าว

 

เม็กซิโกยังก้าวข้ามความกังวลเกี่ยวกับข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่อาจกลายเป็น ‘ข้อตกลงซอมบี้’ (ข้อตกลงที่ยังมีอยู่แต่ถูกลดทอนความสำคัญด้วยการเก็บภาษีฝ่ายเดียว) ปัจจุบัน สินค้าส่งออกเกือบ 85% ของเม็กซิโกยังคงปลอดภาษีภายใต้ USMCA

 

ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบอม ของเม็กซิโกทำงานอย่างหนักเพื่อเจรจากับทรัมป์และรับมือกับการใช้การค้าเป็นเครื่องต่อรองในประเด็นที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ เธอเข้มงวดการปราบปรามยาเสพติดชายแดน ส่งตัวหัวหน้าแก๊งค้ายาที่สหรัฐฯ ต้องการตัว และเก็บภาษี 50% กับรถยนต์และสินค้าจีน เพื่อลดแรงกดดันจากคำขู่เรื่องภาษีที่รุนแรงกว่าของสหรัฐฯ

 

“เม็กซิโกเข้าหาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในทางที่สร้างสรรค์มาก” Exum จาก Gramercy กล่าว

 

Jamieson Greer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่าเม็กซิโกสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งได้ประมาณ 25% ของการลดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นถึง ‘บทบาทสำคัญที่เม็กซิโกมีต่อความพยายามสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ’

 

เม็กซิโกแซงหน้าจีนขึ้นเป็นผู้จัดหาสินค้าต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดให้แก่สหรัฐฯ ในปี 2023 และกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดด้วย เนื่องจากการบูรณาการการผลิตในภูมิภาคที่ลึกซึ้ง และมีแรงงานวัยหนุ่มสาวจำนวนมากที่มีต้นทุนต่ำ

 

ปัจจัยอื่นๆ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เม็กซิโก ความใกล้ชิดกับตลาดสหรัฐฯ ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เช่น รถยนต์ Luis de la Calle ซึ่งเคยอยู่ในทีมเจรจาข้อตกลง NAFTA ของเม็กซิโกกล่าวว่า “ระดับการบูรณาการนั้นสูงมากจนต้นทุนของการยกเลิก USMCA จะมหาศาล”

 

Antonio Ortiz-Mena ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AOM Advisors กล่าวว่าหลายบริษัทคาดว่าความไม่แน่นอนของการค้าโลกจะยืดเยื้อ แต่เม็กซิโกและแคนาดามีแนวโน้มที่จะมีอัตราภาษีเฉลี่ยต่ำกว่าส่วนที่เหลือของโลกต่อไป ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนในขณะที่ข้อตกลง USMCA จะมีการทบทวนในปี 2026

 

การส่งออกอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลของเม็กซิโกเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในสหรัฐฯ Gonzalez Henrichsen จาก The Nearshore Co. ยกตัวอย่างลูกค้าสหรัฐฯ รายหนึ่งที่เริ่มผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกเมื่อปี 2019 ด้วยโรงงาน 1 แห่งและพนักงาน 18 คน ปัจจุบันมีโรงงาน 4 แห่งและพนักงาน 600 คน และคาดว่าจะจ้างเพิ่มอีก 1,000 คนในปีหน้า

 

“เรายังไม่เห็นลูกค้าของเราปิดกิจการและย้ายกลับไปสหรัฐฯ เลย” Ortiz-Mena กล่าวทิ้งท้าย

 

ภาพ: David Wall/Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising