โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงประธานาธิบดีในสมัยที่สองมาเกือบครบ 1 ปีแล้ว หลังจากที่เขาเอาชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตอย่าง คามาลา แฮรร์ริส ไปอย่างขาดลอยใน 7 รัฐสีม่วง ซึ่งสาเหตุหลักที่ทรัมป์สามารถเอาชนะเลือกตั้งได้ก็เป็นผลมาจากการที่รัฐบาล ไบเดน-แฮร์ริส มีคะแนนนิยมตกต่ำมาก อันเป็นผลมาจากปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นมาก จนทำให้ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับปัญหาข้าวยากหมากแพง โดยเวลานั้นทรัมป์หาเสียงในปี 2024 ด้วยการโจมตี ไบเดน-แฮร์ริส ในประเด็นความล้มเหลวในการจัดการปัญหาทางเศรษฐกิจ และสัญญาว่าเขาจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนสมัยที่เขาเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก
คะแนนนิยมตกต่ำเทียบเท่าไบเดน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งมาได้เกือบครบ 1 ปี ชาวอเมริกันส่วนใหญ่พบว่าปัญหาเงินเฟ้อนั้น ไม่ได้ดีขึ้นกว่าในสมัยไบเดนเลย ผลโพลของสำนักข่าว Politico เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่าชาวอเมริกันมากถึง 46% คิดว่าปัญหาเงินเฟ้อภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 นั้นย่ำแย่ที่สุดในชีวิตที่พวกเขาเคยเจอมา (นั่นคือแย่กว่ายุคไบเดนเสียอีก) และนี่เองก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คะแนนความนิยมในการทำงานในฐานะประธานาธิบดีของทรัมป์หรือ approval rating ตกต่ำลงไปอยู่ที่ราวๆ 40% (ลดลงมาจากกว่า 50% หลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งใหม่ๆ) ซึ่งเป็นคะแนนนิยมระดับเดียวกับปลายยุคของไบเดน (ที่เป็นสาเหตุให้ไบเดนถูกกดดันจากนักการเมืองคนอื่นในพรรคเดโมแครตให้สละสิทธ์แก่แฮร์ริสในการเป็นผู้แทนพรรคลงชิงขัยตำแหน่งประธานาธิบดีแทน) และใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดของเขาเองในยุคทรัมป์ 1.0 ในช่วงที่เขาเผชิญมรสุมจากการบริหารจัดการวิกฤตโควิด-19 ที่ผิดพลาด
ซึ่งคะแนนนิยมของทรัมป์ที่ตกต่ำลงถึงขนาดนี้ก็มาจากปัญหาเงินเฟ้อเป็นส่วนใหญ่ เพราะเขาได้คะแนน approval rating ในประเด็นการแก้ปัญหาเงินเฟ้อเพียงแค่ราวๆ 31% และชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็เชื่อ (อย่างถูกต้อง) ว่าการทำสงครามการค้าของทรัมป์โดยการตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับประเทศอื่น เป็นการซ้ำเติมปัญหาข้าวยากหมากแพง (approval rating ของการทำสงครามการค้าอยู่ในช่วง 30% กลางๆ)
One Big Beautiful Bill
One Big Beautiful Bill หรือ OBBB ถือเป็นร่างงบประมาณหลักที่ผ่านสภาในขวบปีแรกของทรัมป์ 2.0 เขารักษาสัญญาประชาคมที่ใช้หาเสียงไว้ในปี 2024 ด้วยการคงการลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาที่เขาเลยลดไว้ในยุค 1.0 และเพิ่มเติมด้วยการยกเลิกภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจากทิปส์ (ซึ่งเป็นนโยบายที่ฮือฮาอย่างมากในช่วงการหาเสียง)
อย่างไรก็ดี สื่อส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจกับการลดภาษีมากหนัก หากแต่ให้ความสนใจกับการตัดลบงบประมาณสำหรับโครงการประกันสุขภาพฟรีโดยรัฐบาลเพื่อผู้ยากจน (Medicaid), โครงการช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้ยากจน (food stamp) และยกเลิกอุดหนุนเบี้ยประกันสุขภาพให้กับชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อยไปจนถึงปานกลางผ่านโครงการ Obamacare เพื่อนำเงินงบประมาณไปอุดหนุนหน่วยงานอย่าง Immigration and Custom Enforcement หรือ ICE เพื่อกวาดกล้างและขับไล่ผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายออกนอกประเทศอย่างถึงรากถึงโคน ซึ่งการตัดงบประมาณของ Obamacare ที่นำไปสู่การต่อสู้กับเดโมแครตในสภาสูงจนนำไปสู่การปิดตัวของรัฐบาลกลาง (government shutdown) ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
OBBB เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คะแนนของเขาตกต่ำลง เพราะชาวอเมริกันเห็นถึงความจำเป็นที่จะยังต้องมีโครงการ Obamacare และทรัมป์เองตลอด 5 ปีของการเป็นประธานาธิบดีก็ไม่เคยตอบได้ว่าถ้าเขายกเลิก Obamacare ไปแล้ว เขาจะช่วยเหลือให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางสามารถซื้อประกันสุขภาพได้อย่างไร คะแนน approval rating ของ OBBB นั้น ต่ำกว่าทรัมป์เองเสียอีกแค่ราวๆ 20% ปลายๆ
ICE และ National Guard
อีกหนึ่งในนโยบายหลักของทรัมป์ ในช่วงของการหาเสียงคือเขาจะกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายออกนอกประเทศอย่างถึงรากถึงโคน และจะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่
ทรัมป์ออกนโยบายและเพิ่มงบประมาณให้กับ ICE เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับกุมและขับไล่ผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายออกนอกประเทศ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วก็น่าจะเป็นนโยบายที่สร้างคะแนนนิยมให้กับเขาได้อย่างมาก เพราะชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับการไม่เอาจริงเอาจังของไบเดน (ที่กลัวจะเสียคะแนนจากกลุ่มชนเชื้อสายฮิสแปนิก)
แต่อย่างไรก็ดี ในทางปฎิบัติการทำงานของ ICE มีข้อผิดพลาดอยู่มาก เช่น การไปจับชาวฮิสแปนิกที่จริงๆ แล้วเป็นพลเมืองอเมริกัน หรือการบุกค้นบ้านทั้งๆ ที่ไม่มีหมายศาล ซึ่งในหลายๆ ครั้งก็ถูกถ่ายวิดีโอไว้กลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย ทำให้คะแนน approval rating ของทรัมป์ในเรื่องนี้อยู่ที่ประมาณ 45% (ดีกว่าเรื่องอื่นๆ แต่ก็ยังต่ำกว่าครึ่ง)
ในส่วนของการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมนั้น ทรัมป์พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการส่งกำลังทหารของรัฐบาลระดับรัฐ (National Guard) เข้าไปลาดตระเวนในเมืองใหญ่ เช่น ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี., มหานครชิคาโก และมหานครลอสแอนเจลิส แต่ปรากฏว่า ภาพของการมีทหารยืนอยู่ทุกมุมเมืองนั้น เป็นสิ่งที่บาดตาชาวอเมริกัน (ราวกับว่าพวกเขาถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร) และพรรคเดโมแครตก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์กลับว่าปัญหาอาชญกรรมในเมืองใหญ่ไม่ได้แย่อย่างที่ทรัมป์พยายามสร้างภาพ เพราะถ้าเราไปดูที่สถิติแล้วจะพบว่าจำนวนอาชญากรรมนั้นลดลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยุค 80 การส่ง National Guard มาอยู่ในเมืองถือเป็นความสิ้นเปลืองและเป็นการสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว และเหมือนว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับการวิพากษ์ของเดโมแครต เพราะ approval rating ของทรัมป์ในเรื่องนี้อยู่ที่ราวๆ 30% กลางๆ เท่านั้น
DOGE
อีกหนึ่งในนโยบายหาเสียงหลักของทรัมป์ คือการพยายามจะปฎิรูประบบราชการที่เขามองว่าใหญ่โต อุ้ยอ้าย และไร้ประสิทธิภาพ โดยหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาก็ได้แต่งตั้งให้ซีอีโอชื่อดังที่เป็นผู้สนับสนุนตัวยงของเขาอย่าง อีลอน มัสก์ เข้ามาเป็นหัวหน้าของโครงการปฎิรูประบบราชการที่มีชื่อว่า Department of Government Efficiency หรือ DOGE
DOGE เป็นอีกหนึ่งในนโยบายที่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่ดีและน่าจะเป็นหนึ่งในผลงานที่สร้างความนิยมให้กับทรัมป์ได้ แต่อย่างไรก็ดีการที่ทรัมป์เลือกคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับการบริหารรัฐกิจอย่างมัสก์มาเป็นผู้นำนั้น ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงมากกว่าจะเป็นผลดี
มัสก์เลือกที่จะไล่ข้าราชการออกโดยไม่ได้วิเคราะห์ถึงความจำเป็นอย่างละเอียด จนทำให้หลายหน่วยงานทำงานไม่ได้ และต้องไปขอร้องให้ข้าราชการเหล่านั้นกลับเข้ามาทำงานใหม่ ทำให้เกิดภาพของความวุ่นวายและส่งผลต่อการบริการประชาชน
ที่สำคัญหลังจากครบ 1 ปีจน DOGE ปิดตัวไปแล้ว ทรัมป์ก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า DOGE ช่วยประหยัดเงินไปเท่าไร (การวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลเวเนียระบุว่าองคาพยพของระบบราชการของทรัมป์ใช้งบประมาณมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ) ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะปิดตัวเอง คะแนนนิยมของ DOGE ต่อชาวอเมริกันนั้นติดลบไปที่ 12%
Isolationism
ทรัมป์เป็นนักการเมืองคนแรกๆ ที่จับกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงานผิวขาวที่มองว่าโลกาภิวัตน์และการค้าเสรีคือต้นเหตุของความเสื่อมของอุตสาหกรรมหนักในสหรัฐฯ โดยที่ทรัมป์ได้ชูนโยบาย America First ซึ่งเป็นนโยบายที่จะนำสหรัฐฯ ออกมาจากกระแสโลกาภิวัตน์และการค้าเสรี (หรือที่เรียกว่าแนวคิดแบบ Isolationism) ผ่านการเลิกยุ่งกับกิจการของประเทศอื่นๆ และการตั้งกำแพงภาษีเพื่อลดการค้ากับต่างชาติ
ทรัมป์ในสมัยแรกยังไม่สามารถดำเนินนโยบายแบบ Isolationism ได้เต็มตัว เพราะเขายังถูกต่อต้านด้วยนักการเมืองสายเหยี่ยวหรือ Interventionist ภายในพรรครีพับลิกันเอง ในยุคทรัมป์ 2.0 นั้น นักการเมืองที่เคยไม่เห็นด้วยกับเขาถูกบีบให้เกษียณตัวเองจากการเมืองไปเกือบทั้งหมด และถูกแทนที่ด้วยนักการเมืองสาย Isolationism ทำให้ทรัมป์สามารถดำเนินนโยบายเหล่านี้อย่างรวดเร็วภายในเดือนแรกของการดำรงตำแหน่งด้วยการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก, ถอนตัวจากสนธิสัญญาลดโลกร้อนที่ปารีส, ลดงบช่วยเหลือประเทศยากจนผ่าน USAID, กดดันประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครนให้ยอมแพ้สงครามต่อรัสเซีย เพราะรัฐบาลของเขาไม่ต้องการเสียงบประมาณไปอุดหนุนสงครามที่ไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว รวมทั้งการพยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ เพื่อลดความจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องอุดหนุนอิสราเอล
นโยบายแบบ Isolationism อาจจะเป็นที่ถูกใจแก่ฐานเสียงของเขา แต่ชาวอเมริกันยังเชื่อว่าสหรัฐฯ ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเล่นบทบาทตำรวจโลกอยู่ ผลสำรวจล่าสุดโดยสำนักโพล Gallup ระบุว่า approval rating ของทรัมป์ในประเด็น อิสราเอล-ปาเลสไตน์ และยูเครน-รัสเซีย อยู่ที่ 33% และ 31% เท่านั้น
Blue Wave 2026?
ความนิยมที่ตกต่ำของทรัมป์นั้นอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นในปีหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่เดโมแครตจะกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะในขณะนี้พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำที่ 220 ต่อ 215 เสียง ซึ่งแปลว่าถ้าพรรคเดโมแครตสามารถแย่งที่นั่งคืนมาได้เพียง 3 ที่ พวกเขาก็จะครองเสียงข้างมากได้แล้ว
ซึ่งโดยปกติแล้วพรรคของประธานาธิบดีมักจะเสียที่นั่งโดยเฉลี่ยเกิน 20 ที่นั่งในการเลือกตั้งกลางเทอม เพราะชาวอเมริกันชอบเลือกพรรคตรงข้ามมาคานอำนาจ ยิ่งถ้าเป็นประธานาธิบดีที่มี approval rating ที่ต่ำก็จะยิ่งเสียที่นั่งมาก อย่างเช่นในปี 2018 (เลือกตั้งกลางเทอมของทรัมป์ 1.0) ทรัมป์มีคะแนนนิยมที่ต่ำเตี้ยพอๆ กับ ณ ปัจจุบันและทำให้พรรครีพับลิกันเสียที่นั่งถึง 41 ที่ จนสื่อมวลชนเรียกว่านี่เป็นคลื่นสีน้ำเงิน (สีของพรรคเดโมแครต) หรือ Blue Wave ที่มากวาดนักการเมืองของพรรครีพับลิกันออกไปจากสภา ซึ่งถ้า Blue Wave เกิดอีกครั้งในปี 2026 ก็จะทำให้ทรัมป์ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากครึ่งเทอมหลังของยุค 1.0 ที่เขาไม่สามารถผ่านกฏหมายอะไรได้เลย (มีสภาพเป็น ‘เป็ดง่อย’ หรือ lame duck) และถูกพยายาม impeach โดยสภาถึงสองครั้ง
ภาพ: REUTERS / Jessica Koscielniak


