2 ประตูในสไตล์การยิงโค้งเสียบเสาไกลของมอร์แกน โรเจอร์ส (ที่เห็นแล้วตบเข่าฉาดเหมือนได้เห็นลูกยิงของอเลสซานโดร เดล ปิเอโรอีกครั้ง) ไม่ได้เพียงช่วยให้แอสตัน วิลลา คว้าชัยชนะเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในนัดสุดสำคัญได้
3 คะแนนที่ได้ยังทำให้รักษาระยะห่างระหว่างพวกเขากับจ่าฝูงอาร์เซนอลให้อยู่ที่ 3 คะแนน และทำให้เพิ่มสถิติการชนะรวดเป็น 10 นัด (ทุกรายการ) เข้าไปแล้ว
ผลงานของพวกเขาเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าดีอย่างน่าเซอร์ไพรส์ เพียงแต่หากมองให้ลึกลงไปมากกว่าแค่ความรู้สึกประหลาดใจมันก็มีเหตุผลของมันอยู่
อูไน เอเมรี ทำอะไรกับทีมของเขาทั้งๆที่เริ่มต้นฤดูกาลได้สุดเลวร้าย
มอร์แกน โรเจอร์ส ไปกินอะไรมาถึงระเบิดผลงานร้อนแรงแบบนี้
แล้ววิลลาจะได้ลุ้นแชมป์ไหมนะ?
ความจริงย้อนกลับไปไม่ถึง 2 เดือนที่แล้วชื่อของแอสตัน วิลลา ไม่ได้อยู่ในสายตาของใครหลายคนด้วยซ้ำ
สถานการณ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะหลังจบเกมไปเยือนซันเดอร์แลนด์ที่สเตเดียม ออฟ ไลต์ ด้วยสกอร์ 1-1 ทั้งๆที่เจ้าบ้านเหลือผู้เล่นน้อยกว่าเป็นเวลาร่วมชั่วโมง ทำให้อูไน เอเมรี นายใหญ่ชาวสเปนเริ่มตกอยู่ใต้ความกดดันเพราะเป็นการค้นหาชัยชนะไม่เจอเป็นเกมที่ 6 ติดต่อกัน
โดยที่ใต้ความกดดันแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมทีมที่ทำผลงานยอดเยี่ยมและดีขึ้นตลอดเวลามา 2 ฤดูกาลจู่ๆถึงฟอร์มดร็อปลงอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งๆที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในทีมอะไรมากมายด้วยซ้ำไป
แต่กุนซือชาวสเปนก็พาทีมกลับมาได้สำเร็จ ด้วยสิ่งเหล่านี้

1. ชนะไว้ก่อนพ่อสอนไว้
อย่างที่บอกว่าวิลลาประสบปัญหาเรื่องของฟอร์มการเล่นอย่างหนักถึงขั้นการหาชัยชนะไม่เจอ 6 นัดติดต่อกัน ถึงจะเป็นกุนซือที่พาทีมมาได้ไกลขนาดนี้แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าอูไน เอเมรี จะปลอดภัยตลอดไป
สิ่งที่พวกเขาต้องการเป็นอย่างแรกในช่วงเวลานั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าชัยชนะ
การเก็บชัยชนะเหนือโบโลญญาได้ในเกมยูเอฟา ยูโรปา ลีก ในช่วงปลายเดือนกันยายนสำคัญอย่างมากต่อขวัญและกำลังใจของทีม เพราะหลังจากนั้นวิลลาก็กลับมาเป็นทีมเก่าจอมแกร่งอีกครั้ง และสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 6 จาก 7 นัด
หนึ่งในนั้นคือการชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี ของเป๊ป กวาร์ดิโอลาด้วย (แพ้ช็อตก่อโก อเฮด อีเกิลส์)
และถึงจะถูกคั่นด้วยความพ่ายแพ้อีกนัดต่อลิเวอร์พูล (ที่ก็อาการหนักไม่แพ้กันหรือมากกว่าด้วย) แต่หลังจากนั้นวิลลาก็เก็บชัยชนะได้ต่อเนื่องอีก 10 นัด ซึ่งรวมถึงการเอาชนะคู่แข่งในเกมสุดมันอย่างอาร์เซนอล, ไบรท์ตัน และเวสต์แฮมด้วย
นั่นหมายถึง 18 นัดหลังสุดพวกเขา วิลลาชนะถึง 16 นัดแพ้แค่ 2 นัดเท่านั้น ซึ่งทุกอย่างก็เริ่มจากชัยชนะนัดแรกนั่นแหละที่เป็นจุดเปลี่ยน
2. PSR & UCL
ปัญหาใหญ่ของวิลลาในช่วงออกสตาร์ตฤดูกาลคืออาการ ‘แฮงก์โอเวอร์’ จากความผิดหวังที่ชวดไปยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีกในฤดูกาลที่แล้วแบบเจ็บปวด
ใกล้แค่นิดเดียวแต่ก็คว้าไม่ได้ นั่นทำให้ทีมของเอเมรี ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการต้องเจอเกมยุโรปควบเกมพรีเมียร์ลีกจนมีอาการสะดุดบ้างประสบปัญหาขึ้นมาในเรื่องของการรับมือกับความผิดหวัง
มากกว่านั้นคือผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาจากรายได้ที่หายไปเพราะไม่ได้ไป #UCL ส่งผลกระทบต่อทีมอย่างรุนแรง เพราะทีมประสบปัญหาการเงินตามกฎ PSR ทันทีและมีข่าวผู้เล่นหลายคนที่เชื่อมโยงกับการถูกขายออกจากทีมเพื่อบาลานซ์บัญช
กลุ่มนักเตะเหล่านั้นล้วนเป็นผู้เล่นระดับ ‘คีย์แมน’ ของทีม ความไม่มั่นคงในทีมมีผลทางใจต่อทีมอย่างมหาศาล

3. ไม่มีที่สำหรับคนดีไม่พอ
ในช่วงออกสตาร์ตฤดูกาล เอเมรี พยายามให้โอกาสแก่ผู้เล่นที่ยืมตัวมาอย่าง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ จาดอน ซานโช ที่ย้ายมาจาก ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามลำดับ
แต่ปรากฏว่าทั้ง 2 ไม่สามารถทำผลงานได้สมกับที่คาดหวัง โดยเฉพาะรายแรกที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “วันเดอร์คิด” ที่ไม่ได้รับโอกาสจากอาร์เนอ สลอต และหวังว่าจะมาพิสูจน์ตัวเองที่วิลลา ปาร์ค ถูกตัดออกจากทีมตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา
แม้จะดูใจร้ายแต่เอเมรี ชัดเจนว่าคนที่จะลงเล่นให้กับทีมของเขาต้องดีพอเท่านั้น
มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้เล่นชุดดั้งเดิมในทีม ไม่ว่าจะตัวจริงหรือตัวสำรองเริ่มทยอยเรียกฟอร์มการเล่นกลับมาได้ โดยที่เอเมรี แสดงความเชื่อมั่นในผู้เล่นเหล่านี้
ความเชื่อใจ (Trust) นำไปสู่การรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน
4. ประกายแสงแห่งมิดแลนด์
แต่ถ้าถามถึงคนที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดย่อมหนีไม่พ้นมอร์แกน โรเจอร์ส เพลย์เมคเกอร์คนสำคัญของทีม
ผลงานของโรเจอร์สในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาหากไม่ใช่ก็ต้องบอกว่าใกล้เคียงกับคำว่า “ระดับโลก” ด้วยการทำเกมที่ยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยจินตนาการ และเพิ่มเติมทีเด็ดทีขาดในการตัดสินเกมด้วยการทำประตูได้ด้วย
สินค้าตีตรา “Made in City” ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับฟิล โฟเดน และโคล พาลเมอร์ เติบโตขึ้นไปอีกขั้นในฤดูกาลนี้ หลังจากที่เผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะเป็นลำบากแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้ขัดเกลาจิตใจให้หนักแน่นรวมถึงเรียกความมั่นใจกลับมาได้ด้วย
ตอนนี้โรเจอร์ส คือ ‘พระเอก’ ของทีมในแบบเดียวกับที่แจ็ค กรีลิช เคยเป็น แต่มีความต่างกันนิดหน่อยตรงที่เขาไม่ได้มาคนเดียว

5. แกร่งทั่วแผ่น
วิลลาไม่ได้มีดีแค่โรเจอร์สคนเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้วความแข็งแกร่งที่แท้จริงของวิลลาคือทีมที่แกร่งทุกจุดในทุกตำแหน่ง
ตั้งแต่ผู้รักษาประตูอย่าง เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ผู้ที่พลาดหวังการย้ายออกจากทีม มาถึงแนวรับที่แข็งจัด และแดนกลางที่สู้ได้ทุกทีมที่นำมาโดย ยูริ ทีเลอมันส์ ที่เป็น “มันสมอง” และกัปตันจอมแกร่งจอห์น แม็คกินน์ ผู้เป็น “หัวใจ” ของทีม
จนถึงแดนหน้าที่แม้โอลลี วัตกินส์ศูนย์หน้าตัวหลักจะยังไม่ฟื้นฟอร์มหลังเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนมายาวนาน แต่ก็มีขุมกำลังทดแทนที่พร้อมลงสนามมาแก้ไขสถานการณ์อย่าง ดอนเยลล์ มาเลน กองหน้าดินระเบิดชาวดัตช์ หรือจอมมหัศจรรย์อย่าง เอมิเลียโน บึนเดีย
พูดง่ายๆคือวิลลาจริงๆมีทีมที่แกร่งอยู่แล้ว และตอนนี้ดูเหมือนจะยิ่งแกร่งกว่าเดิมอีก
6. ฟันดาบร้อยหน เพื่อการฟาดแค่หนเดียว
สไตล์การเล่นของวิลลาในยุคนี้เป็นทีมที่ต้องบอกว่าไม่ได้บุกแบบบ้าระห่ำ หรือเน้นบอลคอนโทรลแบบสมัยนิยม
พวกเขาเป็นทีมที่เล่นแบบเหนียวแน่นเป็นหลัก แต่ก็ยืดหยุ่นเหมือนไผ่ลู่ลม โดยที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เอเมรี พยายามสอนตลอดช่วงเวลาที่เขาเริ่มเข้ามาคุมทีมให้เล่นกันอย่างทรงประสิทธิภาพ เด็ดขาด มีโอกาสต้องปลิดชีพคู่แข่งให้ได้
เปรียบเหมือนซามูไรที่ฝึกซ้อมการฟันดาบทุกวันวันละร้อยหน เพื่อให้จดจำการเคลื่อนไหว น้ำหนัก การบิดข้อมือ การจัดระเบียบร่างกาย เมื่อมีโอกาสฟาดใส่คู่ต่อสู้ ขอแค่ครั้งเดียวจบชีวิตได้ทันที
อย่างไรก็ดีเมื่อถามว่าวิลลาจะมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกจริงหรือไม่?
เวลานี้เร็วอาจเกินไปที่จะบอก และยังมีจุดที่น่าคิดในเรื่องที่ชัยชนะของพวกเขาในช่วงที่ผ่านมามีถึง 8 นัดที่เป็นการชนะด้วยผลต่างเพียงประตูเดียว และไม่เสียประตูเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น ซึ่งดูแล้วแปลว่ายังมีจุดอ่อนที่ชัดเจนในเกมรับ
แต่หากเอเมรี และทีมของเขารักษามาตรฐานการเล่นไปแบบนี้ต่อไป ต่อให้ล้มก็ลุกกลับมาได้ไวเหมือนที่ผ่านมา
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ


