ความจริงแล้วเรื่องราวที่ควรถูกหยิบนำมาเล่าคือการยิงฟรีคิกเข้าประตูเป็นหนที่ 3 ของ ยศกร บูรพา ศูนย์หน้าตัวเก่งของไทยที่ทำประตูเบิกร่องในนัดชิงชนะเลิศตั้งแต่ต้นเกม
ลูกปั่นโค้งๆ ที่ชวนให้คิดถึงโค้ชอย่าง ‘เจ้าวัง’ ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล หนึ่งในจอมปั่นฟรีคิกของไทยในยุค 90 ที่ได้วิชามาจากเจ้านายคนชื่อเดียวกันอย่างธวัชชัย สัจจกุล หรือ ‘บิ๊กหอย’ ผู้จัดการทีมชาติระดับตำนานผู้สร้าง ‘ดรีมทีม’ ด้วยความฝัน
บิ๊กหอยคนบ้าบอลคอยสอนคอยหยอดเทคนิคที่ครูพักลักจำมาจากการดูฟุตบอลต่างประเทศให้เจ้าวังทำทีเหมือนไม่สนใจแต่แอบฝึกคนเดียวเงียบๆ และวันหนึ่งก็ยิงฟรีคิกทีเด็ดในศึกเอเชียนเกมส์ 1998 ดับเกาหลีใต้
ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามเดียวกับที่ ‘เจ้ามิกซ์’ ยิงนี่แหละ
แต่สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ถูกเก็บพับไป เพราะทีมชาติไทย พลิกพ่ายต่อเวียดนาม พลาดโอกาสคว้าเหรียญทองฟุตบอลชายหนแรกในรอบ 4 สมัย และเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่ไทยไม่ได้เหรียญทองฟุตบอลในการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์
ไม่มีใครอยากแพ้แบบนี้ ในเกมแบบนี้ และเท่าที่ดู – ต่อให้จะอ่อนประสบการณ์และขาดสมาธิในบางช่วง – เด็กๆ ของเรา เหล่า ‘ช้างศึกน้อย’ ก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
สิ่งที่เราต้องยอมรับ – และควรจะยอมรับอย่างจริงใจมานานแล้ว – คือ วันนี้เราสู้เขาไม่ได้
และเราควรกลับมาทบทวนบทเรียนกัน ก่อนที่เราอาจจะสู้ใครไม่ได้เลย
เพราะอาเซียนไม่ใช่ของตาย
สายตาที่ว่างเปล่าของโค้ชวัง ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษบอกอะไรได้หลายอย่าง
สถานการณ์พลิกผันในช่วงครึ่งหลังโดยเฉพาะการพลาดเสียจุดโทษเร็วหลังกลับมาลงสนามอีกครั้งที่ทำให้เวียดนามไล่ตามมาเป็น 2-1 จุดประกายความหวังของผู้มาเยือนให้กลับมาอีกครั้ง และพวกเขาก็กลับมาได้จริงอย่างยอดเยี่ยม
ความจริงหากไม่มีลูกเซฟปาฏิหาริย์ 2 ครั้งของศรวัสย์ โพธิ์สมัน และอีก 1 เสาที่ช่วยชีวิตไว้ เกมนัดชิงชนะเลิศควรจะจบลงตั้งแต่ใน 90 นาทีด้วยซ้ำ
เพราะไทยที่ออกนำไปก่อนถึง 2-0 จนทำให้ทุกคนคิดว่าฟุตบอลไทยจะกลับมาเป็น ‘จ้าวซีเกมส์’ อีกครั้ง ทั้งช็อคและช็อตในการเล่นไปตั้งแต่โดนยิงประตูไล่ตามมา ทุกคนเล่นผิดฟอร์มกันไปหมดอย่างไม่น่าเชื่อ
ตรงข้ามกับเวียดนามที่แก้ไขแท็กติก ปรับรูปเกม และปลุกจิตวิญญาณนักสู้มาได้เป็นอย่างดี
ทีมดาวทองไม่ได้ใส่ทั้งใจ แต่ใส่ทั้งตัว พวกเขาเข้าหนักหน่วง เข้าแม้กระทั่งจังหวะขึ้นปะทะกลางอากาศในลูกเตะมุมที่นำไปสู่การได้ประตูตีเสมอ
แม้มันจะทำให้เกิดความสงสัยในการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินว่าการที่ผู้เล่นกระโดดขึ้นปะทะผู้รักษาประตูกลางอากาศจนเสียจังหวะ ไม่เป็นการฟาวล์ได้อย่างไร แต่เพราะมาตรฐานการแข่งขันที่ไม่มี VAR เสียไปแล้วก็ต้องแล้วกันไป
ในช่วงที่เกมยังหยุดที่ 2-2 หลายคนคิดว่ามันอาจจะมีสักคนแหละ ใครสักคนที่โผล่มาเพื่อเป็น ‘ฮีโร่’ ของทีม เหมือนในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลซีเกมส์ครั้งที่ 17 เมื่อปี พ.ศ.2536 ที่สิงคโปร์ กับการปรากฏตัวของตัวสำรองอย่างเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่โหม่งเช็ดเข้าเสาไกลให้ไทยดับฝันพม่าได้ 4-3
แต่น่าเสียดายที่คราวนี้ไม่มี
ไทยได้แค่เหรียญเงินเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
บนความเห็นใจเด็กๆ ที่พยายามแล้วที่จะหาหนทางเพื่อจะกลับมาสู่เกม แต่ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ มันโหดร้ายกับเราได้เสมอ
เรื่องการหลุดสมาธิ ทำเหมือนง่าย เล่นเหมือนขี่คู่แข่งในช่วงหลังขึ้นนำ 2-0 และน่าจะยิงให้ขาดแต่พลาดหมด ที่หลายคนตำหนิก็ส่วนหนึ่ง แต่ฟุตบอลเด็กก็เป็นแบบนี้
กระดูกยังอ่อน ความคิดความอ่านของพวกเขายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้เหมือนผู้ใหญ่ (ในทางลูกหนัง)
คำถามคือแล้วเราได้ทำอะไรเพื่อช่วยพวกเขาบ้างไหม
ในฐานะผู้ฝึกสอน – ด้วยรักและเคารพตำนานในวันวาน – โค้ชวังย่อมต้องแอ่นอกยอมรับกับผลงานที่ล้มเหลว การแก้ไขแท็คติกในสนามของเขาไม่สามารถช่วยให้ไทยกลับมาสู่เกมได้อีกครั้ง
เกมรับของเรามีปัญหา เกมรุกของเราที่ไหลลื่นในครึ่งแรกขาดหาย ยิ่งเล่นก็ยิ่งเข้าทางคู่แข่ง ที่เตรียมทั้งตัวและใจมาเป็นอย่างดี
ใช่ – เตรียมตัวและเตรียมใจ คืออีกคำถามว่าไทยได้เตรียมทุกอย่างมาอย่างดีที่สุดเหมือนเขาไหม?
ระยะเวลาในการเตรียมทีมสำหรับการแข่งขัน ความร่วมมือ คือปัญหาที่น่าละเหี่ยใจของฟุตบอลไทยมานานหลายปี และจุดพีคน่าจะเป็นฟุตบอลซีเกมส์หนนี้ ที่แม้สโมสร – ผู้อ้างศักดิ์และสิทธิ์ในตัวผู้เล่น เพราะจ่ายเงิน – จะยอมปล่อยผู้เล่นมาให้ทีมชาติใช้ในช่วงของการแข่งขันซีเกมส์ ซึ่งไม่ได้อยู่ใน International Match Calendars (ที่เรียกกันว่า ‘FIFA day’ ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่มีคำนี้)
แต่ปล่อยมาแค่ครึ่งตัว ผู้เล่นหลายคนต้องเดินทางกลับไปรับใช้ต้นสังกัดในเกมไทยลีกสุดสัปดาห์ แล้วกลับมาเล่นให้ทีมชาติต่อ
ใครเขาทำกัน?
เวลานี้ฟุตบอลไทยเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เราอยากจะก้าวข้ามอาเซียน แต่ก็ขอผู้เล่นมีระดับจากสโมสร สโมสรก็ยอมให้ (ก็ได้) แต่ก็ขอกลับมาใช้ในเกมลีก
เราอยากจะไปไกลกว่าอาเซียน แต่เราปลดโค้ชที่จะชั่วหรือดีอย่างน้อยมีแนวคิดจะช่วยวางรากฐานให้ฟุตบอลไทย เพราะรู้สึกกดดันจากความล้มเหลวเฉพาะหน้า (ส่วนเรื่องหลังบ้านในความสัมพันธ์ระหว่างผู้หลักผู้ใหญ่กับโค้ชท่านนั้นไม่ขอกล่าวถึง) และอยากได้เหรียญทองซีเกมส์ ซีเกมส์สำคัญ
ตกลงพวกคุณจะเอาอย่างไรกัน?
อยากได้ทุกอย่าง แต่ไม่ทำอะไรสักอย่างที่ควรทำ
เราไม่เคยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างจริงจัง ไม่มีระบบ ไม่มีแพลตฟอร์ม ไม่มีเวทีให้พวกเขา เด็กๆ ในระบบลูกหนังไทยต้องดิ้นรนหาทางรอดกันเองในการแข่งขันที่สูงลิบ ใครเกิดได้ก็ดีไป ใครไปอำเภอไม่ทัน…อดแจ้งเกิดก็ทำใจ
เราไม่เคยมีการกำหนดทิศทาง ไม่มีแผนแม่บทที่ใช้การได้จริงๆ ในแบบที่นานาชาติเขาพิสูจน์กันมาแล้วว่าหากอยากจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนนั้น ไม่มีทางลัด
No Shortcut ยูโนว์?
ถ้าเราคิดแบบ ‘วิศวกรรมย้อนกลับ’ จากความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดในนัดชิงชนะเลิศ มันจะย้อนกลับไปเรื่อยๆ ถึงการเลือกโค้ช การเตรียมทีม การตัดสินใจ ระบบของลีก คุณภาพของลีก ต่อและต่อไปเรื่อยๆ
สุดท้ายมันจะวนกลับมาสู่ความว่างเปล่า
ประเทศไทยไม่เคยมีใครสักคนที่มี Vision มองเห็นภาพของแฟนฟุตบอลไทยที่จะมีความสุขไปกับการได้เห็นทีมรักต่อสู้กับชาติมหาอำนาจในฟุตบอลโลกได้อย่างสง่างาม
เรามีแค่ความฝัน
และเวลา 30-40 ปีมันพิสูจน์แล้วว่ามันไม่พอสำหรับโลกความจริง


