วันนี้ (11 ธันวาคม) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความพร้อมของพรรคภายหลังการยุบสภา โดยยืนยันว่าพรรคมีความพร้อมเต็มที่ในการเข้าสู่การเลือกตั้ง เนื่องจากได้เตรียมการและกำชับบุคลากรให้ทำงานแข่งกับเวลามาโดยตลอด แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องเวลาที่กระชั้นชิด แต่ในแง่นโยบายถือว่ามีความสมบูรณ์และตอบโจทย์ประเทศ
ส่วนด้านตัวผู้สมัคร ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสรรหาตามกฎหมาย ซึ่งมีความล่าช้าเล็กน้อยเนื่องจากมีผู้สนใจเสนอตัวเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการคัดกรองเพื่อให้ได้บุคคลที่เหมาะสมที่สุด
อภิสิทธิ์ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงรอยต่อนี้ โดยเฉพาะปัญหาการสู้รบตามแนวชายแดนและการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งหากการเมืองมีเอกภาพ และรัฐบาลมีอำนาจเต็มจะสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่า แต่เมื่อเกิดการยุบสภา ทำให้สถานะเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านอำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบายและการใช้งบประมาณ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องใช้เวลาไปกับการรณรงค์หาเสียง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับภารกิจหลักเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและความมั่นคง
ส่วนประเด็นการจัดการเลือกตั้งในพื้นที่ที่มีสถานการณ์สู้รบ อภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะพิจารณาร่วมกับฝ่ายความมั่นคง โดยยกตัวอย่างกรณีการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษที่เคยมีการเลื่อนจัดการเลือกตั้งมาแล้ว หากเห็นว่าไม่ปลอดภัย แต่ในภาพรวมระดับประเทศ กฎหมายคงไม่อนุญาตให้รัฐบาลรักษาการยื้อเวลาหรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไปโดยไม่มีเหตุอันควร
นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงเบื้องหลังการยุบสภาว่า รู้สึกเสียดายโอกาสที่ฝ่ายการเมืองเลือกใช้วิธีชิงไหวชิงพริบจนนำไปสู่ทางตัน แทนที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงฝ่ายที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การเลือกเส้นทางนี้กลับทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องสะดุดและเหมือนต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ เพราะแม้จะมีการทำประชามติควบคู่กับการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำประชามติซ้ำอีกครั้งในขั้นตอนการแก้มาตรา 256 อยู่ดี


