สนค. ประเมินการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย เสียหายเดือนละ 14,100 ล้านบาท จากการขนส่งที่หยุดชะงักหลังเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม แนะกระจายเส้นทางโลจิสติกส์ แทนการพึ่งพิงเส้นทางหาดใหญ่เพียงจุดเดียว ก่อนไทยจะเสี่ยงเสียเส้นทางโลจิสติกส์ให้ประเทศเพื่อนบ้าน และอาจถูกย้ายฐานการผลิตในอนาคต
วันนี้ (2 ธันวาคม) สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แนะธุรกิจกระจายเส้นทางโลจิสติกส์ แทนการพึ่งพิงเส้นทางหาดใหญ่เพียงจุดเดียว โดยชี้ว่าสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญของระบบโลจิสติกส์การค้าชายแดนไทย-มาเลเซียอีกด้วย
หลังจากที่ สนค. ได้ประเมินผลกระทบความเสียหายของสถานการณ์น้ำท่วมใน 10 จังหวัดภาคใต้ ทาง สนค. ประเมินว่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถือเป็นจุดวิกฤตที่ต้องระวังมากที่สุด เนื่องจาก ‘หาดใหญ่’ เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของภาคใต้ ก่อนที่สินค้าจะเดินทางไปยังด่านชายแดนสะเดาและปาดังเบซาร์
โดยสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ทำให้การขนส่งทางถนนแทบหยุดชะงัก แม้ด่านศุลกากรหลักอย่าง ‘สะเดา’ และ ‘ปาดังเบซาร์’ จะยังคงเปิดทำการตามปกติก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ภาคการส่งออกกำลังเผชิญภาวะชะงักงัน ต่อให้รถบรรทุกขนาดใหญ่เบี่ยงไปใช้เส้นทางอ้อม ก็ยังมีความล่าช้าและความเสี่ยงในระดับสูง
สถานการณ์การส่งออกทางบกยิ่งแย่ลง เมื่อการรถไฟแห่งประเทศไทยประกาศระงับบริการทุกเส้นทางที่สถานีสุไหงโก-ลก จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน ทำให้ทางเลือกในการขนส่งลดน้อยลงอย่างมาก และสภาพคล่องของการไหลเวียนสินค้าแทบจะเป็นศูนย์
เปิดความเสี่ยงการส่งออกภาคใต้
สนค. ชี้ว่า ความเปราะบางของโครงสร้างการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่พึ่งพาช่องทางหลักมากเกินไป สะท้อนให้เห็นได้จากสถิติ 10 เดือนแรกของปี 2568 ที่มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 96% กระจุกตัวอยู่ที่ 2 ด่านหลัก ได้แก่
1. ด่านศุลกากรสะเดา เป็นด่านที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุด โดยมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 311.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 10,947 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 76.30% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดกับมาเลเซีย
2. ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นอันดับสองมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 90.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 3,162 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20.06%
ทั้งนี้ หากสถานการณ์น้ำท่วมยืดเยื้อ ประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผ่านทั้งสองด่านรวมกันสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 14,100 ล้านบาท
อุตสาหกรรมเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ
สนค. ระบุว่า สินค้าที่ส่งออกผ่านด่านศุลกากรสะเดา และปาดังเบซาร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์, ส่วนประกอบรถยนต์, แผงวงจรไฟฟ้า และน้ำยางข้น ซึ่งการหยุดชะงักของการขนส่งครั้งนี้จะส่งผลกระทบใน 2 มิติ ดังนี้
1. กลุ่มอุตสาหกรรม (ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ / ยานยนต์): ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งตรงเวลาเข้าโรงงานในมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้จะหาเส้นทางอ้อมได้ แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 30-40% และใช้เวลานานกว่าปกติ 2-3 เท่า การส่งมอบล่าช้าอาจกระทบไลน์การผลิตแบบ Just-in-Time บางออเดอร์อาจต้องยอมยกเลิกเพราะไม่ทันส่ง
2. กลุ่มสินค้าเกษตร (น้ำยางข้น / ไก่สดแช่แข็ง): สำหรับสินค้าเน่าเสียง่ายอย่างไก่แช่เย็นแช่แข็งมีความเสี่ยงเสียหายสูงสุดหากรถติดค้างเป็นเวลานาน ผู้ประกอบการบางรายต้องแบกรับความเสียหายโดยตรงเมื่อไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันเวลา
นอกจากปัญหาการขนส่งแล้ว สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลายังไม่สามารถดำเนินการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ได้ เนื่องจากน้ำท่วมสูง ระบบอินเทอร์เน็ตล่ม และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องระงับจ่ายกระแสไฟฟ้า แม้ทางการได้เร่งแนะนำให้ผู้ประกอบการยื่นขอหนังสือรับรองผ่านเว็บไซต์แทน แต่ผู้ประกอบการหลายรายยังไม่คุ้นเคยกับระบบออนไลน์ ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งออกสินค้า
ภัยคุกคามระยะยาวต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค
ทั้งนี้ ด่านสะเดาไม่ใช่แค่จุดผ่านแดนธรรมดา แต่เป็นเส้นทางโลจิสติกส์หลักที่เชื่อมต่อไปยังท่าเรือปีนัง (Penang Port) ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญของมาเลเซียในการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก
สนค. ประเมินว่า การหยุดชะงักของด่านสะเดาจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่อุปทานของไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบ Just-in-Time ซึ่งต้องการความแม่นยำในการส่งมอบ หากปัญหานี้เกิดซ้ำบ่อยครั้ง อาจทำให้โรงงานพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น
ด้วยเหตุนี้ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย อาจใช้โอกาสนี้แย่งส่วนแบ่งตลาด ทำให้ลูกค้าต่างชาติที่ไม่ได้รับสินค้าตรงเวลาจากไทย อาจหันไปหาซัพพลายเออร์ใหม่ และเมื่อพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว การกลับมาใช้ซัพพลายเออร์ไทยอีกครั้งก็ไม่ง่าย นี่คือความเสียหายระยะยาวที่มากกว่าตัวเลข 14,100 ล้านบาทต่อเดือน
แนวทางแก้ไขจากเฉพาะหน้าสู่ระยะยาว
สนค. ชี้ว่าการเร่งระบายน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่โจทย์ใหญ่คือการกระจายความเสี่ยงเส้นทางโลจิสติกส์ในระยะยาว ซึ่งทาง สนค. ได้แบ่งการฟื้นฟูไว้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
ในระยะเร่งด่วน รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูเส้นทางหลักและจัดหาเส้นทางสำรองให้สามารถใช้งานได้โดยเร็ว ควบคู่กับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับใช้ระบบออนไลน์ในการขอเอกสารการส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาสำนักงานในพื้นที่เสี่ยงภัย
ระยะกลาง ควรพัฒนาศักยภาพของด่านชายแดนอื่นๆ เช่น บ้านประกอบ เบตง และสุไหงโก-ลก ให้รองรับปริมาณการค้าได้มากขึ้น ไม่ให้กระจุกตัวเพียงสะเดาและปาดังเบซาร์ พร้อมสร้างคลังสินค้าสำรองในพื้นที่ปลอดภัย และพัฒนาระบบขนส่งหลายรูปแบบที่ผสมผสานทั้งทางถนน รถไฟ และทางน้ำ
ระยะยาว จำเป็นต้องแก้ไขโครงสร้างของหาดใหญ่อย่างจริงจัง ทั้งระบบระบายน้ำและผังเมือง สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อภัยพิบัติ และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ดิจิทัลที่เชื่อมโยงทุกด่านชายแดน เพื่อบริหารจัดการข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตใดก็ตาม การดำเนินการทั้งสามระยะอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างความมั่นคงให้ระบบการค้าชายแดนของไทยในระยะยาว
สนค. สรุปว่าวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้เห็น ว่าการพึ่งพาเส้นทางขนส่งผ่าน ‘หาดใหญ่’ เพียงจุดเดียว (Single Point of Failure) มีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับมูลค่าการค้าปีละหลายแสนล้านบาท และการเร่งระบายน้ำระยะสั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่โจทย์ใหญ่ในระยะยาวคือการกระจายความเสี่ยงเส้นทางโลจิสติกส์


