×

ยศชนัน บรรยายหลักสูตร YPP เพื่อไทย แชร์ประสบการณ์ด้านสมอง-ชีวการแพทย์ ทำให้ ‘ประเทศนี้น่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกคน’

โดย THE STANDARD TEAM
01.12.2025
  • LOADING...
ยศชนัน บรรยาย หลักสูตร YPP เพื่อไทย แชร์ประสบการณ์ด้านสมอง-ชีวการแพทย์ ทำให้ ‘ประเทศนี้น่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกคน’

วานนี้ (30 พฤศจิกายน) ภายในการอบรมโครงการ Pheu Thai Young Professionals Program (YPP) รุ่นที่ 2 ซึ่งจัดโดยพรรคเพื่อไทย เพื่อปั้นคนรุ่นใหม่สู่เวทีการเมือง ในวันอบรมวันสุดท้าย ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ (เชน) นักวิจัยด้านสมองและวิศวกรรมชีวการแพทย์ ขึ้นปาฐกถาในหัวข้อ ‘From Research to Policy’ ถ่ายทอดประสบการณ์กว่า 20 ปี ของการทำวิจัย ที่เชื่อมตั้งแต่ห้องทดลอง ไปจนถึงชีวิตจริงของคนพิการ เด็กยากจน และการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ ‘ประเทศนี้น่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกคน’

 

“สิ่งที่ AI ไม่เก่ง คือสิ่งที่มนุษย์เก่ง” ศ.ดร.ยศชนัน เปิดประเด็น พร้อมย้ำว่า จุดแข็งของไทยไม่ใช่การแข่งทำ AI ให้ล้ำที่สุด แต่คือการใช้เทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาที่มนุษย์เผชิญอยู่จริงๆ โดยเฉพาะคนตัวเล็กและคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

 

ช่วยคนพิการ: จากเตียงคนไข้ สู่สนามแข่งขันระดับโลก

 

ศ.ดร.ยศชนัน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำงานด้าน Brain-Computer Interface (BCI) หรือการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่ร่างกายขยับไม่ได้ แต่สมองยังทำงาน

 

จากเคสคนที่ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ ขยับตัวไม่ได้มาหลายปี ทีมวิจัยของเขาเริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า “ทำอย่างไรให้เขา ‘ขยับได้อีกครั้ง’ ไม่ใช่แค่ ‘มีชีวิตรอด’” ทีมใช้การกระตุ้นกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่กล้ามเนื้อ ร่วมกับกายภาพบำบัด และวงจรไฟฟ้าที่ออกแบบขึ้นเอง จนในที่สุด คนที่เคยนั่งนิ่งอยู่บนเตียง กลับมาปั่นจักรยานได้ และเดินหน้าสู่เวทีแข่งขันในระดับนานาชาติ “งานวิจัยที่ดี ไม่ใช่งานที่ทำให้เราได้ตีพิมพ์คนเดียว แต่คืองานที่ทำให้คนคนหนึ่งกลับมารู้สึกว่า ‘ผมเป็นมนุษย์เต็มคนอีกครั้ง’” ศ.ดร.ยศชนัน กล่าวสะท้อนให้เห็นหัวใจของการทำวิจัยเพื่อคนพิการ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทย “มีศักยภาพ” ทำเทคโนโลยีเหล่านี้เองได้ แต่ติดอยู่ที่โครงสร้างการสนับสนุนวิจัย และวิธีคิดที่ยังไม่กล้าลงทุนเพื่อให้คนพิการเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ในราคาที่จับต้องได้

 

อวัยวะเทียม-ไบโอเทค: จากเกษตรกรรม สู่ฮับอวัยวะเทียมของโลก

 

อีกประเด็น คือเรื่อง อวัยวะเทียม ทั้งในมิติของ ‘ตา หู ใบหน้า แขนขา’ และอวัยวะภายในอย่างไตและหัวใจ ศ.ดร.ยศชนัน อธิบายหลักการ ‘ตาเทียม’ แบบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า กล้องถ่ายรูปเก็บภาพเป็นพิกเซล ถ้าเราแปลงพิกเซลเหล่านั้นเป็นสัญญาณไฟฟ้าอ่อนๆ แล้วส่งไปกระตุ้นหลังจอประสาทตา เราอาจทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ในวันหนึ่ง ส่วนเรื่อง ใบหูเทียม ใบหน้าหรือแขนขาเทียม เขาชี้ให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องฟังก์ชันร่างกาย แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ “บางคนยอมบอกว่า ‘ผมยอมตาย ยังดีกว่าไม่มีหน้า ไม่มีหูเหมือนคนอื่น’ นี่ไม่ใช่เรื่องสวยงาม แต่คือเรื่องศักดิ์ศรี เราต้องออกแบบอวัยวะเทียมให้ ‘สวยและเหมือนจริง’ ไม่ใช่แค่ใช้ได้” ในมิติของอวัยวะภายใน

 

ศ.ดร.ยศชนัน เล่าถึงแนวทาง ไตเทียม-หัวใจเทียม-ปอดเทียม และการทำงานร่วมกับต่างประเทศเรื่อง หมูดัดพันธุกรรม ที่สามารถใช้เป็นแหล่งอวัยวะสำหรับมนุษย์ได้ ในฐานะการต่อยอดจากประเทศเกษตรกรรมสู่ประเทศไบโอเทค “ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ ‘ครัวโลก’ อย่างเดียว เราเป็น ‘ห้องผ่าตัดของโลก’ ได้ ถ้าเรากล้าลงทุนเรื่องไบโอเทคและอวัยวะเทียมอย่างจริงจัง”

 

ไม่รอทุน: พาเด็กยากจน-เด็กพิการไป ‘แข่ง’ แทนการ ‘รอ’

 

หนึ่งในช่วงที่สร้างแรงบันดาลใจคือเรื่อง ‘ทุนวิจัย’ ที่ ศ.ดร.ยศชนัน เล่าจากประสบการณ์ตรง หลังเรียนจบกลับมา เขาเคยเคาะประตูมหาวิทยาลัยหลายแห่ง แต่ไม่ได้รับเข้าทำงาน เพราะงานด้านสมอง – คอมพิวเตอร์ถูกมองว่าเพ้อฝัน มีเพียงที่ทำงานปัจจุบันที่เปิดโอกาสให้ เมื่อไม่มี ‘ทุนวิจัย’ จากระบบราชการ เขาตัดสินใจใช้วิธีที่ต่างออกไป คือ พาเด็กยากจน เด็กพิการ คนไม่มีเส้น ไปลงแข่งเวทีประกวดนวัตกรรมและหุ่นยนต์ เพื่อชิงเงินรางวัลมาทำเป็นทุนวิจัยก้อนแรก “ถ้ารอแต่ทุนจากระบบเดิม เราไม่มีวันเริ่ม วันนี้เราเลยพาเด็กไปลงสนามแข่งแทน ให้เขาใช้ความรู้ของตัวเองสู้ เพื่อทั้งอนาคตของเขา และอนาคตของงานวิจัย”

 

ศ.ดร.ยศชนัน เล่าว่า บางปีลงแข่ง 20 รายการ ได้รางวัลเพียงรายการเดียว แต่รายการนั้นสร้างทั้งเงินทุน และความเชื่อมั่นให้ทีมเดินหน้าต่อ เด็กหลายคนที่เข้ามาร่วมทีม ไม่มีเงินเรียน ต้องกู้ กยศ. หรือเกือบหลุดออกจากระบบการศึกษา แต่การได้เข้าทีมวิจัย-ทีมประกวด ทำให้ชีวิตเขากลับทิศ “อย่าปล่อยให้เด็กไม่มีเส้น ไม่มีเงิน ต้องนั่งรอทุนอย่างเดียว ประเทศที่ดีต้องสร้าง ‘สนาม’ ให้เขาไปคว้าโอกาสเองได้” เขาทิ้งประโยคไว้ให้คนรุ่นใหม่ในห้อง

 

ช่วงหนึ่ง ศ.ดร.ยศชนัน เล่าถึงประสบการณ์พาคนพิการ “บินออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต” เพื่อไปแข่งขันนวัตกรรมด้านสมอง-คอมพิวเตอร์ในระดับโลก โดยเล่าย้อนถึงเคส ‘น้องที่ขยับตัวไม่ได้ 3 ปีเต็ม’ หลังประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์จนไขสันหลังเสียหาย จนแพทย์บอกว่าคงไม่มีทางกลับมาเดินหรือทำกิจกรรมได้อีก แต่ทีมวิจัยไม่ยอมให้เขาหมดหวัง

 

หลังใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อที่ฝ่อลีบไปแล้ว ร่วมกับการออกแบบวงจรไฟฟ้าเฉพาะทาง กายภาพบำบัดเข้มข้น และการฝึกสมองผ่านคอมพิวเตอร์ น้องคนนี้ค่อย ๆ “ขยับได้ครั้งแรก” และท้ายที่สุดก็สามารถ ‘ปั่นจักรยาน’ ได้อย่างที่ฝันไว้ ไม่นานหลังจากนั้น ทีมพาเขาเดินทางไปแข่งขันที่ซูริก และหมุนเวทีพาราลิมปิกนวัตกรรม ในฐานะผู้เข้าแข่งขันจากประเทศไทยที่ใช้เทคโนโลยีสมองควบคุมอุปกรณ์ช่วยเหลือ

 

“วันที่เดินเข้าไปในฮอลล์แข่งขัน เขายิ้มทั้งน้ำตาแล้วพูดว่า ‘ผมไม่คิดว่าชีวิตผมจะกลับมามีวันที่ได้ออกนอกบ้านแบบนี้อีก’ นี่คือค่าตอบแทนที่งานวิจัยให้กับมนุษย์คนหนึ่งได้” และการแข่งขันครั้งนั้น ทีมไทยสามารถทะลุเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย ชนะกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยี Brain-Computer Interface มาตั้งแต่ยุคแรกๆ

 

เหตุการณ์ดังกล่าว เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมของศ.ดร.ยศชนัน ย้ำหนักแน่นว่า “การทำงานวิจัยต้องแตะชีวิตคนจริงๆ“ และผลักดันให้การศึกษาสำหรับคนพิการเป็นเรื่องที่รัฐต้องให้ความสำคัญอย่างแท้จริง

 

“ผมไม่ได้พาเขาไปเพราะอยากได้รางวัล ผมพาเขาไปเพื่อให้เขารู้ว่า ‘ชีวิตยังไปต่อได้’ และเพื่อให้ประเทศเห็นว่า ถ้ามีโอกาส คนพิการไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก” ศ.ดร.ยศชนัน ระบุ

 

วัดคลื่นสมองพระ: เมื่อสมาธิไทยกลายเป็นเทคโนโลยีป้องกันโรค

 

ช่วงท้าย ศ.ดร.ยศชนัน พูดถึงโปรเจกต์ที่เชื่อม ‘ศาสนา-วัฒนธรรม-วิทยาศาสตร์สมอง’ เข้าด้วยกัน ประเทศไทยมีตำรานั่งสมาธิมากกว่า 200 วิธี ทั้งยุบหนอ-พองหนอ และอีกหลากหลายสาย แต่ที่ผ่านมา เราไม่มีข้อมูลเชิงสมองเลยว่า วิธีไหนส่งผลต่อสมองและฮอร์โมนอย่างไร ทีมของเขาจึงเริ่มวัด คลื่นสมองพระและผู้ฝึกสมาธิ เพื่อตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของสมองแต่ละส่วน ระดับฮอร์โมน และผลต่อสภาวะจิตใจอย่างเป็นระบบ จากนั้นนำองค์ความรู้ดังกล่าว ไปออกแบบเป็น เทคโนโลยีป้องกันโรค (Preventive Technology) เช่น

 

– โปรแกรมช่วยเด็กสมาธิสั้น-เด็กออทิสติก ผ่านกิจกรรมที่กระตุ้นสมองในทางที่เหมาะสม

 

– Sleep Lab สำหรับตำรวจ-คนขับรถทางไกล เพื่อตรวจจับสัญญาณหลับในจากคลื่นสมอง

 

– โปรแกรมสมาธิ-การออกกำลังกาย ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อลดความเครียด แก้ปัญหาการนอนไม่หลับ และเสริมสมาธิ

 

“เรามีสมาธิแบบไทย ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าเรากล้าวัด กล้าวิเคราะห์ เราจะเปลี่ยนสมาธิให้เป็นเทคโนโลยีป้องกันโรคได้ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพการเงินของประเทศ”

 

ศ.ดร.ยศชนัน ชี้ว่าถ้าเชื่อมองค์ความรู้เหล่านี้กับนโยบายสาธารณสุข ไทยอาจกลายเป็น ‘ศูนย์กลางสมาธิ-สุขภาพจิตเชิงวิทยาศาสตร์’ ที่คนทั้งโลกไว้วางใจ

 

จากห้องวิจัย สู่เวทีการเมือง และประเทศที่มีความสุข

 

ท่ามกลางบรรยากาศการถาม-ตอบอย่างเป็นกันเองกับผู้เข้าร่วมโครงการ YPP รุ่นที่ 2 ศ.ดร.ยศชนัน ทิ้งโจทย์ใหญ่ให้คนรุ่นใหม่และผู้กำหนดนโยบาย

 

  • จะช่วยคนพิการอย่างไร ให้เขากลับมามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เต็มคน

 

  • จะลงทุนในอวัยวะเทียมและไบโอเทคอย่างไร ให้ไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง

 

  • จะสร้างระบบทุนแบบใหม่อย่างไร ให้เด็กยากจน เด็กพิการ และนักวิจัยตัวเล็ก มีเวทีสู้โดยไม่ต้องมีเส้น

 

  • จะใช้สมาธิ-วัฒนธรรม-ศาสนาของไทยอย่างไร ให้กลายเป็นเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพของทั้งสังคม

 

“สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็น AI, ไบโอเทค หรือเทคโนโลยีสมอง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เครื่องจักร แต่คือคำถามว่า เราจะทำให้คนในประเทศนี้มีความสุขขึ้นได้อย่างไร”

 

ศ.ดร.ยศชนัน ปิดปาฐกถาด้วยประโยคสั้นๆ ว่า “ขอให้เราได้อยู่ในประเทศที่มีความสุข และไม่มีใครต้องถูกทิ้ง เพียงเพราะเขาพิการ จน หรือเกิดมาผิดที่ผิดทาง” ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมอบรม YPP รุ่นที่ 2

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising