วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ศาลนัดไต่สวนพยานผู้ร้อง นัดแรกในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นขอให้ศาลวินิจฉัยตามมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 กรณี พญ. เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ถูกกล่าวหาว่ากระทำการหลอกลวง ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ อันเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 77(4) ของกฎหมายเดียวกัน
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรณี พญ. เกศกมล ใช้ตำเเหน่งศาสตราจารย์ในการสมัครเป็น สว. โดยผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และดำเนินคดีอาญา
เนื่องจากเห็นว่า เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถหรือชื่อเสียงหรือชื่อเสียงเกียรติคุณ ตามมาตรา 77 (4) ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
สำหรับวันนี้เป็นการนัดไต่สวนพยานฝ่ายผู้ร้อง จำนวน 4 ปาก ประกอบด้วยอดีตผู้สมัคร สว. 2 คน เจ้าหน้าที่สืบสวนไต่สวน สำนักงาน กกต. และปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย พญ. เกศกมล ในฐานะผู้ถูกร้อง เดินทางมาศาล
พยานฝ่ายผู้ร้องปากเเรก เป็นอดีตผู้สมัคร สว. กลุ่ม 19 (กลุ่มอาชีพอิสระ) อาชีพทนายความ ได้ให้ปากคำว่า จากการตรวจสอบเอกสารของ พญ. เกศกมล ในใบสมัคร สว. 3 พบว่า ใช้คำว่าศาสตราจารย์ จึงได้ตรวจค้นข้อมูลของหน่วยงาน พบว่า ไม่มีชื่อผู้คัดค้านได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นศาสตราจารย์ และไม่พบว่า เคยเป็นอาจารย์หรือมีผลงานทางวิชาการ แต่การใช้ตำแหน่งนี้อาจทำให้ผู้มีสิทธิเลือกเข้าใจผิด
ขณะที่ทนายความของ พญ. เกศกมล ได้ถามซักค้านกรณีการได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์จากต่างประเทศ นำมาใช้นำหน้าได้หรือไม่ และมีกฎหมายฉบับใดที่ห้ามนำมาใช้
พยานฝ่ายผู้ร้องยอมรับว่า การสมัคร สว. ไม่ได้มีกรอบกำหนดในเรื่องของการใช้วุฒิการศึกษา แม้จะเป็นวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศ หากจะนำมาใช้ต้องมีการเทียบ ส่วนการแนะนำตัวนั้น ระเบียบ กกต. ไม่ได้ห้ามไว้ แต่ต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมยอมรับว่า ได้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาเฉพาะในประเทศไทย ไม่ได้ตรวจสอบในต่างประเทศ
ขณะที่พยานปากที่ 2 อาชีพทนายความ ขึ้นเบิกความต่อศาลว่า ผู้คัดค้าน ไม่มีสิทธิ์ใช้ตำแหน่งศาสตราจารย์ เพราะ California University เป็นเพียงหน่วยงานรับเปรียบเทียบวุฒิการศึกษาสำหรับชาวต่างชาติ และเปิดสอนระดับอนุบาล และประถมศึกษาเท่านั้น ผู้คัดค้านไม่เคยสอนหนังสือ หรือมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
อีกทั้งในการเทียบวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอก จะต้องมีวิทยานิพนธ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับ และถูกบันทึกไว้ในระบบการค้นหาของการศึกษาทั่วโลก
โดยตามเอกสารเทียบวุฒิการศึกษาของ พญ. เกศกมลที่นำส่ง กกต.
และจากการให้สัมภาษณ์ผ่านทางสื่อมวลชน มีรายละเอียดที่แตกต่างและเปลี่ยนไป อีกทั้งยังพบว่า เอกสารรับรองแต่ละหน้า ลายมือชื่อรับรองเอกสารไม่ใช่ลายเซ็นจริง แต่เป็นลายเซ็นจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งเหมือนกันทุกฉบับ จะมีแตกต่างกันบ้างเรื่องความหนาและบางของลายเส้น อีกทั้งวันลงนามใบรับรอง ระบุวันที่ล่วงหน้าก่อนที่จะได้รับตัวเลขเอกสาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะการลงนามจะต้องกระทำเมื่อได้รับเอกสารแล้ว ไม่ใช่เป็นการลงนามไว้ล่วงหน้า
ต่อมา พบว่ามีการปรับแก้เอกสารเพื่อให้วันที่สอดคล้องกัน อีกทั้ง California University ให้ข้อมูลเท็จ โดยระบุในหน้าเว็บไซต์ว่า รัฐสภาไทยยอมรับการเทียบวุฒิจากมหาวิทยาลัยแล้ว และรัฐบาลไทยยังให้การยอมรับรัฐมนตรีที่เคยได้รับการเทียบวุฒิจากมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ เห็นว่า การเข้าสู่ตำแหน่งศาสตราจารย์ของ พญ. เกศกมล ภายหลังได้รับการเทียบวุฒิปริญญาโทใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งทั้งโลกนี้ไม่มีใครทำได้ โดยในระยะเวลา 8 เดือน ใช้คำนำหน้าว่าดอกเตอร์ (ดร.) ต่อมาอีก 5 เดือน ใช้คำนำหน้าว่ารองศาสตราจารย์ จากนั้นอีกไม่นาน ก็ใช้คำว่าศาสตราจารย์
ทั้งนี้ ยังพบว่าผลงานทางวิชาการ 7 บทความที่อ้างอิงสำหรับการได้รับวุฒิการศึกษานั้น จากการตรวจสอบพบว่า มีเพียง 2 บทความเท่านั้นที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบวุฒิการศึกษาของ พญ. เกศกมล เป็นเพียงการตรวจสอบจากเว็บไซต์ของต่างประเทศ ไม่ได้ตรวจสอบจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศโดยตรง
ศาลได้นัดไต่สวนพยานผู้คัดค้าน หรือพยานฝ่าย พญ. เกศกมล นัดต่อไปในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น.


