×

อนุทินท้าฝ่ายค้านยื่นซักฟอก พร้อมยุบสภา 12 ธ.ค. ทันที บอกวันนี้รากฐานพร้อมแล้ว นโยบายดี มีบารมีเยอะ

โดย THE STANDARD TEAM
20.11.2025
  • LOADING...
อนุทินท้าฝ่ายค้านยื่นซักฟอก พร้อมยุบสภา 12 ธ.ค. ทันที บอกวันนี้รากฐานพร้อมแล้ว นโยบายดี มีบารมีเยอะ

วันนี้ (20 พฤศจิกายน) ที่ห้องฉัตราบอลรูม 1-2 โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘Change for the Future” ในงานสัมมนา ‘PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ’ ระบุว่า งานวันนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอยู่ใจกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โจทย์สำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ คือ เรากำลังเจออะไร และควรปรับ-เปลี่ยน-ไปต่ออย่างไร เพื่อให้สามารถอยู่รอดในโลกที่ซับซ้อน เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีการแข่งขันด้านเทคโนโลยี และต้องดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับกติกาใหม่ของโลก โดยมี เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

 

ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนแทบไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เพราะต้องเดินทางร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นโอกาสในการผลักดันผลประโยชน์ให้ประเทศ โดยแนวคิดปรับเปลี่ยนและไปต่อ เป็นหลักสำคัญจากความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เรียนมา คือระบบไดนามิก หากหยุดนิ่ง ฟันเฟืองจะติดขัด แต่หากปรับเปลี่ยนและเดินทุกวัน จะไม่มีวันหยุดนิ่ง และสามารถเดินไปตามจังหวะโลกที่เคลื่อนไหวอยู่เสมอ

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในการเดินทางพบผู้นำหลายประเทศ ตนมักใช้ช่วงเวลาที่มีช่องว่างในการขอเข้าพบ ไม่รอให้ใครมาเชิญ แม้จะเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็ก เพราะต้องปรับนิสัย ให้เหมาะกับบทบาทนายกรัฐมนตรี พร้อมยกตัวอย่าง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งกล่าวว่า “ดีใจที่ได้ทำงานด้วยกัน เพราะรู้สึกว่าประเทศไทยกลับมาอยู่ในเรดาร์ (Radar) ของโลกอีกครั้ง” ซึ่งประโยคนี้ทำให้ตนเหมือนถูกทุบกลางหน้าอก เพราะที่ผ่านมาเหมือนประเทศหายไปจากความสนใจของนานาชาติ

 

นายกรัฐมนตรีระบุว่า ตนไม่ปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมกับสถานทูต ไม่ว่าจะประเทศเล็กหรือมหาอำนาจ เพราะถือเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่าย พบปะนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่ และผู้แทนชาติอื่น ๆ และยังได้กินอาหารพื้นเมืองฟรี 1 มื้อ พร้อมอารมณ์ขัน

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงยุคโควิดมีหลายประเทศติดต่อเสนออุปกรณ์ช่วยเหลือไทย เมื่อเราได้รับก็ช่วยตอบกลับ เพราะโลกวันนี้ต้องช่วยกัน แต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นคือทรัพยากรโลกน้อยลง คนเกิดน้อย คนตายน้อย ทำให้มีผู้สูงอายุจำนวนมาก จึงต้องพึ่งเทคโนโลยี และ AI เข้ามาทดแทน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว คำว่า ภูมิรัฐศาสตร์จึงมีความสำคัญ

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังดำเนินการตามกรอบสากล ทั้งด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา เช่น OECD, โมเดล BCG และการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ พร้อมระบุว่า แม้สถานการณ์โลกอาจเผชิญความตึงเครียด แต่วันนี้ไม่มีใครอยากเดินถอยหลังเข้าสู่ยุคใช้อาวุธสงคราม หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ต้องใช้การเจรจาทางการทูตมากขึ้น แต่ก็เสริมว่าแม้หวังตั้งสงบ แต่ส่งเสียงรบให้พร้อมสรรพเพื่อยืนยันว่าไทยพร้อมรักษาอธิปไตย ไม่เสียเปรียบใดๆ

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงจุดแข็งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของไทย โดยเฉพาะ Health Care และ Medical Tourism ระบุว่า ประเทศอื่นอาจมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า แต่ไม่มี Care แบบไทย ไม่มีที่ไหนที่พยาบาลสามารถดูแลได้ละเอียดอ่อนแบบไทยทุกคนในโลก แม้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็กลัวเข็ม อาจไม่ต้องรักษาในกรุงเทพฯ อาจพักรักษาที่ภูเก็ตแล้วพักฟื้นต่อที่รีสอร์ทได้ ถือเป็นของขายระดับโลก หาคู่แข่งไม่ได้

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่าโลกวันนี้ไม่มี Winner take all หรือ Zero-sum game มีแต่ Win-Win ประเทศไทยต้องเป็น พันธมิตรกับโลกทั้งใบ ไม่ผูกขาด ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ต้องเป็นขั้วที่ 3 อยู่ในขั้วของตัวเอง หากบางด้านไม่ลงตัวก็หาวิธี หากไม่มีวิธี ก็หาพันธมิตรที่พร้อมจะร่วมมือ

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก และการส่งเสริมการลงทุนกับสหรัฐฯ ว่าเป็นเพียงพิธีกรรมบนเวทีโลก ไม่มีการให้สัมปทานกับประเทศเดียว และ MOU ฉีกได้ทุกเมื่อ จึงขออย่ากระต่ายตื่นตูม

 

ด้านชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่า จะไม่เสียแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว พร้อมใช้เทคโนโลยีตรวจสอบร่วมกัน หากไม่ยอมรับ ก็ปิดด่านไม่ได้ เพราะไทยขายสินค้าให้กัมพูชา ปีละ 180,000 ล้านบาท ขณะที่ไทยซื้อมาจากเขาเพียง 30,000 ล้านบาท หากกัมพูชายอมอ้อมไปลาว-เวียดนามแล้วเข้าไทย จะทำให้ประชาชนของเขาเดือดร้อนจากการต้องซื้อของแพง

 

เรื่องเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีระบุว่ากำลังเดินหน้าเต็มที่ แม้รัฐบาลมีเวลาทำงานอีกเพียง 4 เดือน อย่างเรื่องคนละครึ่งพลัส ที่คนวิจารณ์ว่า ว่าเป็นนโยบายสมัยลุงตู่ ตนก็ถามว่าทำไม เพราะลุงตู่ก็นายผม เมื่อทำมาแล้ว ก็ทำต่อ ตนไปลอกข้อสอบ และใส่คำว่าพลัสเข้าไป พร้อมระบุว่า ตั้งแต่เข้ามาการเมืองโดนด่าหมด ยกเว้นคนละครึ่งพลัส เดินไปไหนคนชมหมด ดังนั้นเราต้องเป็นคนหัวแข็งต้องยืดหยุ่น

 

ด้านการพัฒนาคน เน้น Upskill และ Reskill เพื่อให้ SME และประชาชนทุกระดับยกระดับตัวเองในยุค AI ประเทศที่ชนะได้คือประเทศที่ “คนสามารถปรับตัวได้ดีที่สุด”

 

ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสังคมผู้สูงอายุ ขยายอายุเกษียณราชการตามความสามารถ,ปรับระบบสาธารณสุขรองรับระยะยาวและการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง (ถ้าไม่ปรับระบบจะตาย), ยกระดับทักษะแรงงานสูงวัย มองเป็นโอกาสธุรกิจด้านดูแลผู้สูงอายุ ทั้งไทยและต่างชาติ ช่วงท้ายกล่าวถึงการเมืองว่า ไม่ต้องไปฟังมาก ไม่นานผมก็ยุบสภาแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน

 

ส่วนเรื่องการเมืองไม่ต้องไปฟัง เพราะไม่นานตนก็ยุบสภาแล้วจะคืนอำนาจให้กับประชาชน ตอนนี้ตัวเลือกไม่เยอะขอให้ดูว่า พรรคไหนที่มีการเมืองที่ดีแล้วต้องมี การปฏิบัติที่ดีด้วย และต้องดูด้วยว่ามีความรู้มากพอที่จะปฏิบัติ และความกล้าพอที่จะทำหรือไม่มีความเก่งพอและบารมีที่จะแสวงหาความร่วมมือหรือไม่ ตนคิดว่าตนมีพอสมควร

 

เรื่องเหล่านี้ทุกคนต้องช่วยกันเพราะปีหน้าอย่างไรก็ต้องเลือกตั้งเพราะสภาพการเมืองที่ดำรงมาจนถึงจุดนี้ต้องยอมรับตรงๆ ว่าไปต่อไม่ได้เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะอภิปรายไปก็แพ้ และตนก็ยังว่า 31 มกราคมจะยุบสภาแตกหักรอไม่ไหว จะให้ยุบวันที่ 12 ธันวาคมตนก็พร้อมยุบ

 

แต่หากมีอะไรที่ทำไว้แล้วไม่เสร็จหลายอย่างก็ต้องไปเบลม (ตำหนิ) คนนั้น มาว่าตนไม่ได้ ซึ่งตนมองว่าต่อให้อภิปรายดีหรืออภิปรายหวนหรือตอบโต้ดีแค่ไหนรัฐบาลก็แพ้เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะไม่มีทางวินวิน วันนี้ตนไม่ได้ให้วินวินกับทางการเมืองแต่อยากให้วินวินกับประชาชน

 

ทั้งนี้ ตนก็เชื่อว่าพรรคของตนมีนโยบายดีๆที่จะไปว่ากันในสนามเลือกตั้ง ของใกล้ชิดกับการเมืองและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเพราะปีหน้าเป็นปีที่สำคัญหากตัดสินใจถูกประเทศไทยก็ก้าวกระโดด เร็วและรุนแรงเพราะตอนนี้เรากลับเข้ามาสู่เรด้าได้แล้ว ทุกประเทศให้ความสำคัญและให้ความสนใจ

 

ขณะรู้ว่านายกฯ คนนี้รู้แค่ 4 เดือนยังให้เวลาพบ แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เราทำไว้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อหวังรักฐาน ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาต้องยกรากฐานตัวนี้แล้วนำไปทำต่อเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเมืองจะปากดีปากเสียอย่างไรตนเชื่อว่าส่วนลึกๆ ของทุกคนก็ต้องการทำประโยชน์ให้กับประเทศและพี่น้องประชาชนดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนยังต้องเคารพซึ่งกันและกันอยู่

 

ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คำว่าปรับเปลี่ยนและไปต่อเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับคนทุกคนโดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising