ในปี 2022 ศาลมาเลเซียมีคำสั่งพิพากษาจำคุก นาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 12 ปี ในคดียักยอกเงินจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมาเลเซีย 1MDB ซึ่งนับเป็นคดีการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มาเลเซีย ทำให้นาจิบกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศที่ถูกจำคุก แม้ต่อมาจะได้รับพระราชทานอภัยโทษบางส่วนจากกษัตริย์อับดุลเลาะห์ ในปี 2024 ก่อนที่พระองค์จะหมดวาระการครองราชย์เพียง 1 วัน ซึ่งแทนที่เหตุการณ์จะจบลง แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ข้ามปี ที่สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลและสถาบันทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น
นี่ยังไม่กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเกี่ยวกับจำนวนโทษที่ถูกลดลงเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิดและมีความเป็นไปได้ที่อดีตผู้นำจะพ้นโทษก่อนเดือนสิงหาคมปี 2028
สำหรับต้นตอของปัญหาก็คือ ภาคผนวกของการอภัยโทษ (an addendum) ที่ฝ่ายนาจิบกล่าวอ้างว่าเป็นคำสั่งเพิ่มเติมที่มาพร้อมกับการประกาศพระราชทานอภัยโทษ จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปีที่แล้วเมื่อนาจิบได้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับตามภาคผนวกการอภัยโทษให้ตนกลับไปรับโทษที่เหลือที่บ้านพัก ทว่าศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องด้วยเหตุที่หลักฐานของฝ่ายนาจิบมีเพียงพยานปากที่นำมาใช้อ้างถึงการมีอยู่ของภาคผนวก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งยกคำร้องของนาจิบ และหากพบว่าเอกสารนี้มีอยู่จริงก็ขอให้ดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าว พร้อมกันนั้นฝ่ายนาจิบได้นำส่งจดหมายรับรองจากสำนักพระราชวังแห่งปะหังเพื่อใช้ยืนยันการมีอยู่ของภาคผนวก ทั้งยังโต้แย้งว่าผู้ที่มีอำนาจในเรื่องนี้ได้ปิดบังและเพิกเฉยต่อคำสั่งของกษัตริย์ ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลาเดียวกันกับที่ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา สำนักพระราชวังแห่งปะหังก็ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าภาคผนวกมีอยู่จริง อีกทั้งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกถึงการมีอยู่ของเอกสารฉบับนี้
ทว่าในฝั่งอันวาร์ อิบราฮิมในฐานะนายกรัฐมนตรีและบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่างยืนกรานและปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นภาคผนวกดังกล่าว เพราะภาคผนวกถูกส่งตรงให้แก่อัยการสูงสุดไม่ผ่านพวกตนหรือคณะกรรมาธิการอภัยโทษแต่อย่างใด และเอกสารฉบับนี้ก็ได้ถูกส่งต่อไปยังกษัตริย์พระองค์ใหม่ ณ พระราชวังอิสตานา เนการา โดยที่รัฐมนตรีจากกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องล้วนออกมาปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่เคยเห็นบันทึกถึงการมีอยู่ของเอกสารเจ้าปัญหานี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของมาเลเซียทั้ง 3 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งคำร้องของนาจิบกลับไปให้ศาลสูงพิจารณาและไต่สวน แต่ที่สร้างความงุนงงให้มีมากขึ้นเป็นเพราะศาลได้ยอมรับการมีอยู่ของคำสั่งแนบท้าย ทว่าในแง่ของเนื้อหาและความชอบด้วยกฎหมายจะต้องได้รับการวินิจฉัยตามกระบวนการพิจารณาคดีอีกครั้ง โดยศาลเห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่ศาลสูงสุดจะเป็นผู้ให้ความเห็นในประเด็นนี้ ดังนั้นศาลจึงให้ส่งคดีกลับไปให้ศาลสูงพิจารณา และในระหว่างนี้นาจิบจะยังคงต้องรับโทษในเรือนจำต่อไปจนกว่าศาลสูงจะมีคำตัดสินในคดีการขอพิจารณาใหม่
มหากาพย์การขออภัยโทษและภาคผนวกเจ้าปัญหานี้ได้สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลอันวาร์มาอย่างต่อเนื่องนับแต่ขึ้นเป็นรัฐบาล ด้วยภาพลักษณ์ที่อันวาร์ประกาศเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างประเทศที่รวมถึงเรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งกรณีของนาจิบได้กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลถูกโจมตีจากหลายฝ่ายถึงความจริงใจและความมุ่งมั่นในการปฏิรูป เมื่อบวกกับการถูกกล่าวหาว่าปกปิดเอกสารแนบท้ายการอภัยโทษแล้ว การออกมาปฏิเสธการรับรู้ถึงเอกสารดังกล่าวของฝ่ายรัฐบาลยิ่งทำให้ต้องตกที่นั่งลำบาก ในด้านเสถียรภาพของรัฐบาลเอง แม้อันวาร์จะสามารถรวมเสียงในสภาได้ถึง 2 ใน 3 หากแต่พรรคร่วมที่เป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลก็คือ พรรคอัมโน หนึ่งในข้อเรียกร้องของอัมโนนับแต่เข้าร่วมรัฐบาลก็คือ การปล่อยตัวนาจิบ ซึ่งย้อนแย้งกับแนวทาง Reformasi ของอันวาร์ ทั้งยังส่งผลต่อการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอีกด้วย
ในส่วนของพรรคอัมโน แม้จะเป็นแกนนำขับเคลื่อนการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่อดีตผู้นำของตน ทว่าในความเป็นจริงแล้วพรรคอัมโนก็ไม่ได้มีความเป็นปึกแผ่นแต่อย่างใด เพราะในพรรคเองยังแบ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนนาจิบและฝ่ายสนับสนุนซาฮิต ฮามิดี ผู้นำอัมโนคนปัจจุบันที่พ่วงด้วยตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แม้ซาฮิตจะสนับสนุนการยื่นร้องขออภัยโทษ แต่ก็ไม่อาจจะหลีกหนีความจริงที่ว่า นาจิบยังคงมีอิทธิพลและฐานเสียงสนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่ภายในพรรค ซึ่งคงไม่ผิดนักที่จะมองว่าซาฮิตอาจจะพอใจกับสถานการณ์ในช่วงเวลานี้มากกว่า เพราะหากนาจิบเป็นอิสระเมื่อใด นั่นหมายถึงอำนาจ อิทธิพล และบทบาททางการเมืองของตนจะต้องลดลงอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดนี้ ความปั่นป่วนก็มิได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในชั้นศาลและการเมืองในประเทศเท่านั้น แต่ยังนำมาสู่ความขัดแย้งทางความคิดในสังคมหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคุมขังในที่พักที่ยังไม่เคยมีขึ้นมาก่อนในมาเลเซีย แม้เมื่อปีที่ผ่านมารัฐบาลอันวาร์จะกำลังร่างพระราชบัญญัติอนุญาตให้ใช้การคุมขังที่บ้านพักเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การจะมีหรือไม่มีกฎหมายรองรับโดยตรงก็คงไม่กระทบกระเทือนกรณีของนาจิบ เพราะมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติเรือนจำปี 1995 ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศใช้บ้านพัก อาคาร สถานที่หรือส่วนหนึ่งของสถานที่ใดเป็นที่คุมขังหรือกักขังบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมาย ทว่าคำถามกลับเกิดขึ้นในประเด็นที่ว่า การอนุญาตให้กักขังนาจิบที่บ้านพักเป็นเหมือนการให้สิทธิพิเศษแก่ชนชั้นสูงหรือชนชั้นนำทางการเมือง และเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยหรือไม่ ด้วยการลงโทษในลักษณะดังกล่าวยังไม่เคยมีมาก่อนและตัวนาจิบเองก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา นี่ยังไม่รวมถึงการถกเถียงถึงประเภทของการกระทำผิดที่ควรได้รับการผ่อนผัน โดยเฉพาะความผิดในคดีคอร์รัปชันนั้นสมควรที่จะได้รับการคุมขังที่บ้านพักหรือไม่
ภาพ: Paul Kane / Getty Images


