×

‘เสรีภาพ มาพร้อมความรับผิดชอบ’ ถอดบทเรียนดราม่าหน้า Lawson ถึงปัญหานักท่องเที่ยวล้นญี่ปุ่น

18.11.2025
  • LOADING...
‘เสรีภาพ มาพร้อมความรับผิดชอบ’ ถอดบทเรียนดราม่าหน้า Lawson ถึงปัญหานักท่องเที่ยวล้น ญี่ปุ่น

กำลังเป็นกระแสร้อนแรง หลังอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวไทยถอดเสื้อเต้นโชว์บนหลังคารถยนต์หน้า Lawson สาขาคาวากุจิโกะในญี่ปุ่น จนได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากทั้งในโลกออนไลน์และโลกออฟไลน์ โดยพฤติกรรมดังกล่าว ไม่เพียงแต่ถูกมองว่า เสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหา ‘การท่องเที่ยวที่เกินขีดจำกัด’ (Overtourism) ในญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งคนท้องถิ่นกำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนจากนักท่องเที่ยวอย่างหนัก

 

ดราม่าครั้งนี้จึงอาจไม่ใช่แค่เรื่องของอินฟลูเอ็นเซอร์รายบุคคล แต่เป็นภาพสะท้อนที่สำคัญของ ‘จริยธรรมการสร้างคอนเทนต์’ และ ‘ความรับผิดชอบทางสังคม’ ของผู้มีอิทธิพลบนโลกดิจิทัลในปัจจุบัน

 

THE STANDARD ได้สัมภาษณ์ ภัทรพล เหลือบุญชู เจ้าของเพจ JapanSalaryman เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยภัทรพลระบุว่า ปัญหาที่นักท่องเที่ยวไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับคนญี่ปุ่นมักจะเกิดขึ้นในช่วงระยะหลังๆ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปญี่ปุ่น จนเกิดเป็นปัญหา ‘Overtourism’

 

“แม้จะมีนักท่องเที่ยวที่ดีจำนวนมาก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวบางส่วนที่อาจจะยังไม่เข้าใจกฎกติกา และอาจทำผิดกฎหมายของญี่ปุ่น” ภัทรพลยังระบุว่า “นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นนักท่องเที่ยวไทยเป็นข่าวในลักษณะนี้ ชัดเจนขนาดนี้”

 

ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเกินในญี่ปุ่นเป็นปัญหาที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวในญี่ปุ่นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า และความต้องการที่จะเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นอย่างล้นหลาม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าญี่ปุ่นทำสถิติสูงสุดใหม่ทุกเดือนในปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 3.26 ล้านคน หรือคิดเป็น 13% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนในปีที่แล้ว

 

แม้ว่าการท่องเที่ยวที่เกินขีดจำกัด (Overtourism) อาจจะสร้างเม็ดเงินและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับญี่ปุ่นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันเสียงร้องเรียนของชาวญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัญหานี้ก็เริ่มดังขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่มากจนเกินไป อาจมีส่วนเพิ่มแนวโน้มการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เคารพทางวัฒนธรรมและกฎหมายของญี่ปุ่น เช่น การส่งเสียงดังในพื้นที่สาธารณะ การขีดเขียนหรือทำลายสาธารณสมบัติ รวมถึงการไม่เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้อื่น

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นของญี่ปุ่น ได้ริเริ่มเสนอมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่ล้นเกินขีดจำกัดนี้ เช่น การประกาศขึ้นภาษีโรงแรมในย่านท่องเที่ยวชื่อดัง ทำให้นักท่องเที่ยวอาจเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าพักในอัตราที่สูงขึ้น, การติดตั้งสิ่งกีดขวางหรือกำแพงในบางจุด เพื่อลดหรือชะลอความแออัดของนักท่องเที่ยว รวมถึงการออกแคมเปญ ‘Mind Your Manners’ เพื่อเตือนให้นักท่องเที่ยวรักษามารยาท ไปจนถึงการจัดรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อระบบขนส่งสาธารณะในท้องถิ่นของญี่ปุ่น

 

ภัทรพลอธิบายว่า รัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นได้มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ดูแลคนต่างชาติโดยเฉพาะ และมีท่าทีที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะเข้มงวดกับคนต่างชาติที่ไม่รักษากฎหมาย เช่น การรุกล้ำพื้นที่ของคนญี่ปุ่น หรือการอยู่เกินวีซ่ากำหนด (Overstay) แล้วไปทำงานที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น โดยภัทรพลเชื่อว่า มาตรการการพิจารณาจำกัดวีซ่าหรือคัดจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศญี่ปุ่นนั้น น่าจะยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้

 

เสรีภาพในการสร้างคอนเทนต์ กับความรับผิดชอบทางสังคม

 

ผศ. ดร.เอกพล เธียรถาวร อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประธานชมรมเครือข่ายนักสื่อสารข้อมูลเชิงลึกแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า กระแสสังคมที่เกิดขึ้นค่อนข้างเป็นไปตามแนวทางที่คาดเดาได้อยู่แล้ว นั่นคือ ผู้คนจะเข้ามาแสดงจุดยืน ‘ต่อต้าน’ การกระทำดังกล่าว และในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการมีส่วนร่วม (Engagement) กับอินฟลูเอ็นเซอร์คนนั้นเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งยังตั้งข้อสังเกตถึงรูปแบบของการทำคอนเทนต์ในลักษณะนี้ว่า เป็น ‘เทรนด์เลียนแบบ’ เพื่อเรียกยอด Engagement เพราะเห็นว่า คนอื่นทำแล้วได้ยอด Engagement เยอะ จึงทำต่อๆ กัน

 

อาจารย์เอกพลยังระบุว่า อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์เหล่านี้ มีเสรีภาพในการสื่อสารในแบบของตัวเอง แต่เสรีภาพนั้นต้องอยู่ในกรอบของ ‘ความรับผิดชอบ’ ด้วย อีกทั้งยังควรคำนึงถึงกฎกติกามารยาทของชุมชน รวมถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

 

พร้อมเน้นย้ำว่า ปัจจุบันการเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารได้ง่าย ทำให้ใครๆ ก็มีพลังในการสื่อสารได้ แต่ก็ต้องใช้เครื่องมือและการสื่อสารนั้นอย่าง ‘มีความรับผิดชอบ’

 

สอดคล้องกับภัทรพลที่มองว่า ประเด็นสำคัญในการทำคอนเทนต์คือ ‘การเคารพกฎกติกาที่ค่อนข้างชัดเจนของแต่ละสถานที่’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นที่คนญี่ปุ่นรักความสงบ และไม่ต้องการความเดือดร้อนวุ่นวายจากการใช้ชีวิตประจำวัน

 

ทั้งยังอธิบายว่า การกระทำของอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังคนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่อาจจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของญี่ปุ่นได้ หากมีคู่กรณี เนื่องจากบริเวณหน้าร้าน Lawson นั้นเป็นจุดที่ Sensitive มาก หากร้าน Lawson มองว่าพฤติกรรมดังกล่าวขัดขวางการทำธุรกิจและสร้างความเดือดร้อน พวกเขาก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ เพราะมีคลิปวีดีโอเป็นหลักฐานชัดเจน

 

ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย และแนวทางปฏิบัติ

 

ภัทรพลแสดงความกังวลอย่างมากว่า พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ พร้อมระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่รักประเทศญี่ปุ่นมาก มีมารยาททางสังคม ค่อนข้างเคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งเข้าใจผิด และเกิด ‘การเหมารวม’ ว่า คนไทยเป็นแบบนี้ และเนื่องจากอินฟลูเอ็นเซอร์คนนี้มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก จึงอาจถูกตีความได้ว่า คนไทยที่ติดตามอยู่ให้การยอมรับพฤติกรรมดังกล่าว

 

ขณะที่ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สื่อถึงกรณีอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวไทยแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่แลนด์มาร์กชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ว่า เมื่อเราไปประเทศไหนก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของประเทศนั้นๆ ซึ่งเราก็รู้ว่า ‘สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมที่มีระเบียบ’ เราต้องระมัดระวัง เพราะการไปแสดงพฤติกรรมแบบนั้น กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย และเราไม่อยากให้กระทบการเดินทางของนักท่องเที่ยวไทย

 

เจ้าของเพจ JapanSalaryman ยังได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยว หรือทำคอนเทนต์ในญี่ปุ่น โดยเน้นย้ำถึงวัฒนธรรม ‘การรักสงบ’ และ ‘การเคารพสิทธิส่วนบุคคล’ ของชาวญี่ปุ่น ดังนั้น หากถ่ายรูปหรือทำคอนเทนต์ใดๆ ไม่ควรให้ใบหน้าของคนญี่ปุ่นปรากฏอยู่ในภาพ หากไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงหลีกเลี่ยงการก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย หรือส่งเสียงดัง เพราะคนญี่ปุ่นรักความสงบมาก และต้องการดำเนินชีวิตตามธรรมเนียมเดิมอย่างปกติสุข หากแสดงพฤติกรรมใดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัว และความปกติสุขในการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะเกิดดราม่าได้ง่าย

 

ส่วนอาจารย์เอกพลกล่าวทิ้งท้ายโดยเน้นย้ำว่า อำนาจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอีกส่วนหนึ่งอยู่ในมือผู้ชม หรือผู้รับสาร แม้ว่าในตอนแรก อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์เหล่านี้จะทำเหมือนไม่สนใจใคร แต่ถ้ายอดไลก์ หรือยอด Engage ลดลง ก็จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างแน่นอน

 

ดังนั้น อำนาจในการต่อรองที่สำคัญ เพื่อให้ผู้มีอิทธิพลในโลกโซเซียลอย่าง อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์เหล่านี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้นนั้น อยู่ในมือของ ‘ผู้ชม หรือผู้รับสาร’ ทุกคน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising