วันนี้ (18 พฤศจิกายน) จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดเตรียมยื่นอุทธรณ์ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีมาตรา 112 ซึ่ง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสกัดไม่ให้ทักษิณออกจากเรือนจำในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง จะส่งผลต่อการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยนั้น
จุลพันธ์กล่าวว่า ตนไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง ทางพรรคจะไม่ใช้ประเด็นนี้ไปในมิตินั้น แต่ข้อสังเกตของชูวิทย์ ก็เป็นข้อสังเกตที่สังคมคิดและสงสัยได้ เพราะเหตุการณ์ประจวบเหมาะ 2 คดีในวันเดียวกัน และเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนก็รู้ว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง เป็นข้อสังเกตที่มีนัยยะ เราก็คงต้องเฝ้าติดตามว่าข้อสังเกตของชูวิทย์จะนำไปสู่อะไร มีกระบวนการในการตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยยอมรับมีความสนิทสนม และมีหัวใจที่เชื่อมต่อกับครอบครัวของทักษิณ และแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย สิ่งที่เกิดขึ้น เรามองด้วยความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจ และสำคัญที่สุด เรารู้อยู่เต็มอกว่ากระบวนการเริ่มจากการปฏิวัติ รัฐประหาร และการรื้อฟื้นคดีในสมัยของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กระบวนการที่เกิดขึ้น ความเป็นธรรมที่จะเกิดขึ้นในสังคมตรงนี้อย่างไรก็ต้องทำให้เกิดความกระจ่างชัดในที่สุด ว่าคนๆ หนึ่งจะถูกปฏิบัติอย่างเสมอภาค
ฉะนั้นตรงจุดนี้จะต้องมีกระบวนการในการติดตามการทำงานและคดีความต่อไป และเชื่อว่าตัวของทักษิณและครอบครัว ยังมีกำลังใจดี และที่สำคัญหากมีช่องทางทางกฎหมายที่จะสามารถดำเนินการได้ เชื่อว่าทักษิณก็คงหาช่องทางในการต่อสู้คดีต่อไป
ด้าน ก่อแก้ว พิกุลทอง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณ เป็นสิ่งที่เกินจะรับ ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 1 ปี ซ้ำ โดยไม่หักวันที่เคยถูกคุมขังอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจเลย
ถูกอัยการอุทธรณ์คดี 112 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ คณะทำงานที่มีอัยการสูงสุดคนปัจจุบันเป็นหัวหน้าคณะมีมติไม่อุทธรณ์ 8:2 และทำให้หมดสิทธิ์ขอพักโทษจากการจองจำ
ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้การที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 17,600 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ศาลภาษีชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ถอนการประเมิน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ยึดไปแล้ว 46,000 ล้านบาท เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2553 ด้วยคำสั่งของศาลฎีกาฯ นักการเมือง
ก่อแก้วระบุอีกว่า “การกระทำต่อคุณทักษิณ ถูกมองว่ามาแบบซีรีส์ที่มีการจัดวาง ขัดต่ออารมณ์และความรู้สึกของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก ผลักไสไล่ส่งเอาคนที่สามารถทำประโยชน์ให้ประเทศมากๆ ไปอยู่ต่างประเทศ และขังคุก จากนั้น ก็เอาพวกเฮงซวยมาบริหารประเทศ ไม่แปลกใจที่ประเทศถดถอยมาตามลำดับ จนหนี้ประเทศ และหนี้ครัวเรือนสูงสุด คนไทยส่วนใหญ่ แทบไม่มีความหวังกับประเทศนี้อีกเลย สงสารประเทศไทย พอได้หรือยังครับ”


