เมื่อ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดตัวโครงการ Thailand Open Science for ALL ในการประชุม TSRI Policy Advocacy Series ครั้งที่ 5 ด้วยวัตถุประสงค์ให้งานวิจัยที่รัฐลงทุน ไม่ถูกเก็บอยู่ในห้องสมุดหรือฐานข้อมูลปิดอีกต่อไป แต่ “เปิด” ให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และสื่อ เข้าถึงและนำไปใช้ได้จริง ด้วยแนวคิด Open Science จึงเป็นเหมือนการ ‘ปลดล็อกประตูความรู้ของประเทศ’ ให้คนทั่วไปใช้ประโยชน์ได้เหมือนข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า Open Science จะต้องทำให้ความรู้เดินทางถึงประชาชนได้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมแห่งปัญญาที่ทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ ไม่ใช่จำกัดอยู่ในวงการผู้เชี่ยวชาญ
ด้าน ศ. เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธาน กสว. เน้นว่า การเปิดงานวิจัยอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องเปิดกระบวนการด้วย ตั้งแต่การกำหนดโจทย์ ไปจนถึงการร่วมทำ Citizen Researchers และการเปิดให้นานาชาติทำงานร่วมกับไทย เขาย้ำว่าการเข้าถึง Open Journal คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนทั่วไปใช้ประโยชน์จากงานวิจัยได้จริง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับรายงานของ World Bank และองค์กรวิจัยชั้นนำทั่วโลก
ขณะที่ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลว่าทำไมโลกกำลังผลักดัน Open Science อย่างจริงจัง เพราะโลกวิทยาการเร็วเกินกว่าระบบเดิมจะตามทัน การเผยแพร่ความรู้ต้องเร็วขึ้น เข้าถึงได้มากขึ้น และโปร่งใสขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีไหลข้ามพรมแดนอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับ นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร THE STANDARD ที่สะท้อนมุมมองว่า ประเทศไทยมีองค์ความรู้จำนวนมาก แต่ประชาชนเข้าถึงน้อยเกินไป หนึ่งในโจทย์ใหญ่คือการสร้างความต้องการใช้ข้อมูลจริงในสังคมไทย ซึ่งยังพึ่งพาความเชื่อและสัญชาตญาณมากกว่าหลักฐานเชิงประจักษ์
ตัวอย่างหนึ่งของระบบใหม่ที่ถูกพัฒนา คือแพลตฟอร์มค้นหางานวิจัยไทยกว่า 500,000 บทความ ด้วยประโยคภาษาไทยธรรมดา ผ่าน AI / NLP ที่พัฒนาโดย TCI ภายใต้ทุน ววน. ช่วยสรุปภาษาวิชาการให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นก้าวสำคัญสู่ citizen science ที่คนทั่วไปสามารถใช้วิจัยเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาได้
อีกระบบหนึ่งคือ Big Data Platform ของสถาบัน GBDi ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ถนนเชื่อมข้อมูล” จากหลายหน่วยงาน โดยให้เจ้าของข้อมูลควบคุมสิทธิอยู่เสมอและลบข้อมูลดิบหลังวิเคราะห์เสร็จ เพื่อให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการใช้ต่อยอดได้อย่างปลอดภัย กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของประเทศ
โครงสร้างพื้นฐานใหม่เศรษฐกิจไทย
วงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนความเห็นต่อไปว่า แม้ Open Science ดูเหมือนนโยบายสำหรับนักวิจัย แต่ในระดับเศรษฐกิจ หลายฝ่ายเริ่มมองว่านี่คือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ที่จะกำหนดศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในอีก 5–10 ปี
เมื่อข้อมูลงานวิจัยเปิดกว้างขึ้น SMEs และสตาร์ทอัพสามารถใช้ข้อมูลจริงของไทยพัฒนานวัตกรรมด้านเกษตรแม่นยำ สุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม หรือโซลูชันพลังงานสะอาด แทนที่จะต้องพึ่งข้อมูลต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
Open Science ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการพัฒนา AI ของไทย เพราะโมเดล AI คุณภาพสูงต้องการข้อมูลต้นทางของประเทศเป็นวัตถุดิบ หากไทยสามารถตั้งมาตรฐานข้อมูลและเปิดใช้ได้สมดุล ไทยก็มีสิทธิพัฒนาเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลของตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีจากต่างชาติ
นอกจากนี้ Open Science ยังช่วยลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง เช่น การลดงานซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานรัฐ เพิ่มความโปร่งใสในการออกแบบนโยบาย และช่วยให้ภูมิภาคต่างๆ เข้าถึงองค์ความรู้ได้ใกล้เคียงกับส่วนกลางมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โจทย์ใหม่ของไทยเมื่อคลังความรู้ถูกปลดล็อก
เมื่อประตูความรู้ของประเทศถูกเปิดกว้างขึ้น คำถามคือสังคมไทยจะ “กล้าใช้ข้อมูลจริง” มากแค่ไหน Open Science อาจเป็นกุญแจสร้างเศรษฐกิจใหม่ แต่หากการใช้ข้อมูลยังอยู่ในวงแคบ และสังคมยังยึดติดกับความเชื่อมากกว่าหลักฐาน ระบบนี้ก็อาจกลายเป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานที่ดี แต่ใช้ไม่เต็มศักยภาพ
ท้ายที่สุด นี่คือช่วงเวลาที่ไทยต้องตัดสินใจร่วมกันว่า เราจะใช้ความรู้นับแสนชิ้นที่เปิดออกมา เป็นเพียงคลังข้อมูล หรือเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการตัดสินใจเชิงนโยบายของประเทศอย่างแท้จริง








